วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การบริหารเงินสำหรับคนเงินเดือน 15,000 บาท

คนเราจะเป็นถ้าแก่ได้ก็ต้องเริ่มจากเงินออมเล็กๆน้อยๆนี่แหละครับ แล้วก็ลงทุนเล็กๆขยายกิจการไปเรื่อย แต่ก็อย่างว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ จุดเริ่มต้นอาจจะสู้ลูกคนมีกระตังค์ไม่ได้ แต่พ่อแม่ก็ยังทนส่งเราเรียนจนจบปริญญาตรีจนได้หวังว่าจะมีการมีงานทำไม่ลำบากเหมือนรุ่นตัวเอง ถ้าโชคดีคุณอาจได้เริ่มต้นที่เงินเดือน 15,000 บาท ต่อไปขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของคุณแล้วว่าจะทำให้เงินคุณงอกเงยได้อย่างไร
คนเราจุดเริ่มต้นไม่เท่ากัน

เงินเดือนเท่านี้ทำไงให้พอกิน?

คุณ siwat [1] เขียนเรื่องการบริหารเงินสำหรับคนเงินเดือน 15,000 บาท อย่างไรให้อยู่รอดและมีเงินเก็บ เขาบอกว่ากฎข้อแรกก็คือ

ไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นหนี้ และไม่เป็นหนี้

siwat เขาว่า "คนเงินเดือน 15,000 เพิ่งเริ่มทำงาน ถ้าตั้งหลักกับการทำงานได้ดี ไม่ต้องวอกแวกเรื่องอื่น แต่ใช้สมาธิกับงาน ดูว่าเราชอบงานหรือเปล่า ความถนัดเราตรงกับงานที่ทำไหม ถ้าตั้งลำได้แล้ว ฝึกฝนพัฒนาทักษะ ให้ทำงานได้เก่ง ได้เร็ว ได้ครบถ้วน เราจะได้ขยับขึ้นไปในกลุ่มเงินเดือนที่สูงกว่าได้เร็วครับ พอเงินเดือนสูงขึ้นอีกหน่อย เราก็มีเงินใช้จ่ายได้มากขึ้นเอง อย่าไปเสียสมาธิเพราะหนี้ที่เราก่อ"

พอทำงานสบายใจแล้วมาดูกันว่าทำงานอย่างไรให้มีเงินเหลือเก็บเอาไปลงทุนต่อยอดความมั่งคั่งได้
การจัดสรรเงินของคนเงินเดือน 15,000


  1. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ – ถ้าบริษัทของเรามี ผมแนะนำให้ทุกๆคน เลือกให้เขาหักสูงสุดครับ อาจจะ 3% หรือ 5% ก็สุดแท้แต่ สิ่งที่สำคัญคือ เขาหักไป บริษัทจะสมทบให้อีกเท่ากัน เช่นหักไป 3% หรือ 450 บาท บริษัทจะสมทบให้อีก 450 บาท แต่ถ้าให้หัก 5% 750 บาท เราก็ได้อีก 750 บาท เพราะฉะนั้น ยิ่งให้หักมาก เรายิ่งได้เงินมากครับ ส่วนนี้เป็นส่วนเงินออมแรกเลยที่ควรให้หักไปครับ นอกจากได้สมทบเยอะ ยังช่วยเราออมเงินได้อีกด้วย ส่วนประกันสังคม ไม่ต้องพูดถึง เพราะโดนหักอยู่แล้วอัตโนมัติ
  2. เงินออม / ให้พ่อแม่ – คนที่ต้องให้พ่อแม่ ส่วนใหญ่จะหักให้ไปก่อนอยู่แล้ว แต่เจ้าเงินออมเนี่ยสิครับ หลายๆ คน เอาไว้ทีหลัง คือมีเหลือเท่าไรค่อยเก็บ ซึ่งผมบอกได้เลยว่า มันจะไม่เหลือ … เพราะฉะนั้นถ้าอยากออมเงินจริง เงินเดือนออกปุ๊บให้รีบหยอดกระปุกเลยครับ แนะนำให้หาบัญชีฝากประจำ แบบสะสมเท่ากันทุกเดือน จะได้ดอกเบี้ยสูงหน่อยด้วยครับ (ผมยังไม่แนะนำการลงทุนอื่นๆในขั้นนี้ เพราะเงินมันยังน้อยอยู่ครับ ลงทุนไปก็ปวดหัวต้องมาคอยเป็นห่วงว่าเงินลงทุนไปถึงไหนแล้ว เสียสมาธิกับการทำงานอีก)
  3. ค่าใช้จ่ายประจำ – ตรงนี้ล่ะครับ บอกได้เลยว่าคน กทม. ที่อยู่กับครอบครัว กับคน ตจว. ที่มาเช่าห้องอยู่ ค่าใช้จ่ายต่างกันฟ้ากับเหวครับ คนอยู่หอ เดือนหนึ่งโดนประมาณ 5,000 แน่ๆ ค่าใช้จ่ายนี้ ถ้าลดได้ ผมแนะนำให้ลด เช่น ค่าหอ ให้หา รูมเมทมาแชร์ คิดง่ายๆ ค่าหอ 4,000 ถ้าได้รูมเมทมาแชร์ครึ่งหนึ่ง เราจะมีเงินไว้เก็บ หรือไว้ใช้อีก 2,000 ต่อเดือนแน่ะ ทีนี้ถ้าใครบอกไม่เอาชอบความเป็นส่วนตัว ก็ให้ลองคิดดูว่า ค่าความเป็นส่วนตัว คุ้มกับ 2,000 ต่อเดือนหรือเปล่า ส่วนค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ 1,500 คงไม่ต้องบอก ประหยัดได้ก็ประหยัด มันก็จะลดลงไปเองครับ ส่วนค่าเดินทาง ผมเอามาอยู่หมวดเดียวกัน เพราะผมว่าตรงนี้ มันควรคิดคำนวณด้วยกันเป็นภาพรวมครับ เช่น ถ้าเรายอมจ่ายค่าหอแพงหน่อย เพื่อให้อยู่ใกล้ที่ทำงานขึ้น ประหยัดค่าเดินทาง สุทธิแล้ว ค่าใช้จ่ายเท่าๆ กัน แน่นอนเราอยู่ใกล้ที่ทำงานย่อมดีกว่าครับ นี่ยังไม่รวม เวลาเดินทางที่จะใช้น้อยลง ซึ่งจะช่วยลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มพลังในการทำงานอีกนะครับ ความเห็นผม อยู่ใกล้ที่ทำงาน ถ้ารวมค่าเดินทางกับค่าหอแล้วต่างกันไม่มาก อยู่ใกล้ดีกว่าครับ มีเวลา สมาธิ ในการทำงาน หรือแม้กระทั่งจะเอาเวลาว่างมาหารายได้เสริมได้อีกด้วย สำหรับคนที่ไม่ต้องจ่ายค่าหอ ผมขอให้มองเพื่อนๆ ที่มีภาระค่าหอครับ ถ้าเขาอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ เงินส่วนต่างตั้ง 4,000 บาทนั้น ผมแนะนำให้ออมมากขึ้นสัก 1,000-2,000 ต่อมาดูว่ามีวิธีไหนไหมที่จ่ายค่าเดินทางมากขึ้นอีกหน่อย แต่ประหยัดเวลาเดินทางได้ เช่น เปลี่ยนจาก รถเมล์เป็นรถไฟฟ้า หรือพี่วินฯ เก็บพลังงานเราไว้ใช้ในการทำงานครับ สุดท้ายที่เหลือก็เอาไปกิน เที่ยวตามใจชอบครับ
  4. ค่าข้าว ค่าน้ำ – รวมอยู่ด้วยกันครับ คำแนะนำคือ พยายามควบคุมค่าใช้จ่ายรายวันนี้ให้อยู่ในงบ พึงระลึกไว้ว่า เงินที่เหลือถัดไปจากก้อนนี้ คือ งบ shopping และเที่ยวแล้วครับ ถ้าประหยัดตรงนี้ได้ จะมีเงินเหลือให้ช้อป กินดื่มได้มากขึ้น สำหรับคนเงินเดือนเริ่มต้น ผมแนะนำให้ห่างไกลสิ่งเหล่านี้ครับ
    • กาแฟ ชานมไข่มุก แก้วละ 40 บาท ถึง 140 บาท ไว้รวยแล้วค่อยกินครับ กินกาแฟฟรีใน office ไปก่อน ถ้าเรากินกาแฟแก้วละ 50 ทุกวัน 20 วันต่อเดือน จะเป็นเงิน 1,000 บาทครับ มีค่าเท่ากับ ปาร์ตี้มันส์ๆ 1 ครั้ง บวกกับเสื้อผ้า แพลตตินัม 2 ชิ้นขึ้นไป อีกตัวเลือกหนึ่งที่ใช้แก้ง่วง แทนกาแฟ ได้ ผมแนะนำ หมากฝรั่งครับ 1 กล่อง 10 บาท มี 9 เม็ด กินได้ 2 วัน เฉลี่ยวันละ 5 บาท แก้ง่วงได้ แถมยังเพิ่มออกซิเจนให้สมองด้วยครับ
    • บุหรี่ ทั้งทำร้ายสุขภาพและกระเป๋าสตางค์
    • อาหารกลางวันมื้อแพงๆ ถ้าไปกินกับพี่ๆ ที่ทำงาน ให้พี่ๆ มันจ่ายไปครับ ถ้าพี่ไม่เลี้ยง วันหลังไม่ต้องไปกิน เราเงินเดือน 15,000 พี่เงินเดือน 50,000 การใช้ชีวิตไม่เหมือนกันอยู่แล้ว จะให้ไปกินแพงๆ มื้อละ 100-200 ขึ้นไป พี่ต้องเลี้ยง!
ลดใช้ของฟุ่มเฟื่อยก็รวยได้

สุดท้ายคือเงินเหลือ เที่ยว shopping – เคล็ดลับของเรื่องนี้ คืออย่างนี้ครับ

คนทั่วไป มักจะเที่ยว shopping ตอนต้นเดือน ทันทีที่เงินเดือนออก แล้วพอปลายเดือนค่อยกินแกลบผมแนะนำกลับกัน เงินเดือนออกปั๊บ ออมก่อน ใช้จ่ายประจำก่อน แล้วเหลือเท่าไหร่ ตอนปลายเดือน ค่อยเที่ยว ค่อย shop เท่านั้น

สมมติเงินเดือนออกวันที่ 31 แทนที่จะ shop วันที่ 31, 1, 2, 3 เราหันมา shop วันที่ 30 แทนดีกว่าครับ ใช้ให้มันหมดไปเลยก็ได้ เพราะวันรุ่งขึ้นเงินใหม่จะมาแล้ว เป็นวัยรุ่นมันต้องเที่ยวต้อง shop บ้าง อย่าไปฝืน อย่าไปทำให้ชีวิตมันลำบากยากแค้นมากนัก หาความสุขความสบายใส่ตัวบ้าง เพื่อให้เราไม่รู้สึกกดดันกับชีวิตและการเงิน และเราจะมีสมาธิกับการทำงานได้อย่างเต็มที่ครับ

สุดท้าย ดูจากตาราง เราจะเห็นได้ว่า เฮ้ย จำนวนวันในแต่ละเดือนมีความสำคัญนะ เห็นอย่างนี้เราคงรักเดือน กุมภาฯ เพิ่มขึ้นอีก และเราคงรักเดือนที่มี 30 วันมากกว่า เดือนที่มี 31 วัน มากขึ้นอีกหน่อย

เริ่มมีเงินแล้วอยากไรอยากได้รถขับอะทำไงดี?

สำหรับคนที่เงินเดือน 15,000 ผมว่าอย่าพึ่งออกรถเลยครับเพราะค่าใช้จ่ายมันเยอะกว่าที่คุณคิดอาจได้ติดหนี้หัวโตได้  มาดูตารางกันครับขนาดคนเงินเดือน 20,000 บาทจะซื้อรถยังหมุนเงินหัวแทบแตก
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการมีรถ 1 คัน
นอกจากเสียค่าใช้จ่ายมากมายแล้วยังทำให้เราเสียโอกาสในการลงทุนอีกด้วย จาก page TIF [2] ครับเขาสมมติว่ามีเงินเริ่มต้น 1,000,000 บาท กับทางเลือกหลายๆทางทั้ง ซื้อเงินสด ผ่อนมันเข้าไป กู้เงินกับซื้อรถ และทางเลือกสุดท้ายคือไม่ซื้อรถเอามาลงทุนเพียวๆ


โอเคไม่ซื้อรถก็ได้ เงินลงทุนปีละหมือนกว่าบาทเมื่อไหร่จะรวย


แนวทางการ "เริ่ม" สะสมความมั่งคั่งของคนที่ยังมีเงินไม่มากต้องท่องไว้ในใจ 2 ข้อครับ [2]
  1. ศึกษาหาความรู้ด้านการเงินการลงทุนให้มากเข้าไว้ มองให้กว้าง หาวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างกำไร ซึ่งอาจไม่ใช่แค่กราฟและหน้าจอเทรด
  2.  เน้นการออมเงินเดือนมาเติมพอร์ตลงทุน มากกว่าการเพิ่มความเสี่ยงเพื่อหากำไร
ก็อกน้ำแห่งความมั่งคั่ง
ถ้าทำข้อ 1 ได้ - เราก็จะเห็นภาพกว้างขึ้นเรื่อยๆ ว่าในโลกนี้มีอะไรทำเงินให้เราได้บ้าง และเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าอะไรคือโอกาส อะไรคือความเสี่ยง อะไรควรรอ อะไรควรรีบ ที่สอนการลงทุนก็มีหลายที่ครับอย่างที่ http://www.investidea.in.th/p/value-investor.html เขาสอนวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานแบบ VI เป็นการลงทุนระยะยาว ก็สอนดีอยู่

ถ้าทำข้อ 2 ได้ - เราก็จะมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างเร็วมาก โดยไม่ต้องแบกความเสี่ยงใดๆ เลย

นอกจากนี้บนโลกนี้มีสิ่งมหัศจรรอยู่อย่างหนึ่งก็คือ "ดอกเบี้ยทบต้น" มีคนคำนวณว่า ถ้าเก็บเงินปีละ 14,000 บาทแล้วลงทุนได้ 20% ต่อปี ทบไปทบมาจะมีเงินเท่าไร [3]
  • ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท
  • ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
  • ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท
  • ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
  • ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท
  • ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
  • ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท
  • ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
จะเห็นว่าการทำเงินหนึ่งล้านบาทในปีหลังๆใช้เวลาน้อยกว่าการหาเงินหนึ่ง ล้านบาทแรกมาก นักลงทุนต้องเข้าใจว่าการสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ดังนั้นภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล ต้องคิดว่านี่เป็นการ “วิ่งมาราธอน” ไม่ใช่ “วิ่งร้อยเมตร” สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว

แต่ทำผลตอบแทน 20% ต่อปีอาจยากไป ถ้าลองลดเป็น 10% ต่อปีอาจไม่ยากเกินไป ใช้ตารางนี้เอาครับตัด 0 ไปตัวนึง

ลงทุนเดือนละหมื่น ผลตอบแทน 10% ต่อปี
ขอให้สนุกกับการบริหารเงินครับ

ที่มา
[1]http://www.siwat.com/?p=861
[2]https://www.facebook.com/ThInvestForum
[3]วิบูลย์ พึงประเสริฐ, ลงทุนปีละหมื่นเป็น’เศรษฐีร้อยล้านได้,  บทความ Value Way  ฉบับวันที่ 9 กรกฏาคม 2555 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น