1.ฝากขาย
ฝากขาย คือ การเอาของไปฝากคนที่รู้จักหรือไม่รู้จักขายให้ เมื่อขายได้ก็แบ่งปันรายได้หรือผลกำไรกัน
2.ขายฝาก
ขายฝาก คือ การกู้ยืมเงินชนิดหนึ่ง มีกฏหมายรองรับ โดยมีการเอาทรัพย์สินมาขาย(ค้ำประกัน) ส่วนใหญ่นิยมใช้อสังหาริมทรัพย์ (จริงๆตามกฏหมาย สังหาริมทรัพย์ก็ใช้ได้ แต่ไม่ค่อยมีใครทำ มักทำในรูปแบบจำนำ ซึ่งไม่แตกต่างกัน) โดยผู้ขายฝาก(ผู้กู้) นำทรัพย์สินมาขายฝากไว้ให้กับผู้รับขายฝาก(ผู้ให้กู้) หากเป็นอสังหาริมทรัพย์ ต้องไปทำนิติกรรมขายฝากที่ สนง.ที่ดิน ไม่ใช่ทำกันเองที่บ้าน จึงจะถูกต้องตามกฏหมาย
3.จำนอง
เรื่องขายฝาก กับ จำนอง โดยใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นตัวกลาง มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องเป็นการกู้ยืมเงิน แต่ก็มีจุดต่างที่สำคัญมากอยู่จุดนึง นั่นคือ เรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์
หลายท่านคงรู้จักการจำนองแล้ว ซึ่งก็คือการที่เรากู้เงินซื้อบ้านหรือซื้อคอนโดกับแบงก์น่ะแหละ เรานำบ้านนำคอนโดไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ และผ่อนจ่ายค่างวดกับแบงก์เป็นงวดๆไป ระยะเวลาในการผ่อนยาวๆ 10 ปี 20 ปี 30 ปี ก็ว่ากันไป แต่ประเด็นสำคัญ คือ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้กู้ ผู้ให้กู้ หรือ ธนาคารเป็นเพียงผู้รับจำนอง ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่จำนอง เมื่อผู้กู้ผิดสัญญา ผู้ให้กู้ในฐานะเจ้าหนี้ ต้องติดตามทวงถามหนี้กับลูกหนี้ จนถ้าทวงไม่ไหว ก็จะดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล เพื่อขอยึดทรัพย์นำไปขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ผ่านกระบวนการของกรมบังคับคดี หากขายทอดตลาดแล้วยังไม่พอ ก็จะตามกับลูกหนี้ต่อไป หากพอและมีเงินเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ก็จะคืนให้กับลูกหนี้ และเครดิตลูกหนี้ก็จะเน่า
ส่วนการขายฝาก ประเด็นสำคัญคือ กรรมสิทธิ์ได้ถูกเปลี่ยน ณ วันจดทะเบียนขายฝากเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังให้สิทธิ์ผู้ขายฝาก(ผู้กู้) เมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน(ปกติระยะเวลาจะสั้นมาก แค่ 1 ปี แม้กฏหมายจะให้ทำได้ถึง 10 ปี) นำเงินมาชำระหนี้ กรรมสิทธิ์ก็จะกลับมาเป็นของผู้ขายฝาก แต่หากถึงกำหนดไถ่ถอน ผู้ขายฝาก ไม่มาไถ่ถอน ก็จะหมดสิทธิ์ซื้อคืนในราคาไถ่ถอนอีก กรรมสิทธิ์ถูกเปลี่ยนมือโดยไม่มีสิทธิกลับไปเป็นของผู้ขายฝากอีก โดยผู้รับขายฝาก (ผู้ให้กู้) ไม่ต้องไปดำเนินการฟ้องร้องยึดทรัพย์ขายทอดตลาดอะไรอีก
นี่คือข้อแตกต่างสำคัญ
ที่อยากจะพูดถึงจริงๆคือ ถ้าจำเป็นเดือดร้อนต้องใช้เงินจริงๆ ผมยังมองว่าการขายทรัพย์ออกไปในราคาต่ำกว่าราคาตลาดสัก 20% ยังดีกว่าการขายฝากแน่นอน เพราะขายฝาก ต้องขายในราคาต่ำประมาณ 60% ของราคาตลาด แถมโดนค่าภาษี โดนค่าธรรมเนียมเข้าไป โดนหักดอกล่วงหน้าอีก ก็เหลือเงินกลับไปแถวๆ 50% ของราคาตลาด ไหนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยรายเดือนอีก ต่างหาก สู้ขายเร็วๆ แล้วฟื้นตัวเมื่อไหร่ ค่อยไปหาซื้อทรัพย์ที่ชอบไม่ดีกว่าหรือ?
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1674236012837452&id=1437709549823434
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1674454036148983&id=1437709549823434