วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หลักการเจรจาประนอมหนี้

ไม่มีใครที่อยากเป็นหนี้ แต่เมื่อเป็นหนี้แล้วจ่ายไม่ไหว จะมีหลักการเจรจาประนอมหนี้อย่างไร เนื้อหามาจากบทความ "หลักการเจรจาประนอมหนี้ ง่ายๆ สไตล์ ทนายวิ้น" [1] เชิญอ่านโดยพลัน


1.กรณีก่อนถูกฟ้องเป็นคดี 


ถ้ามีเจ้าหนี้หลายราย ผมจะให้ลูกหนี้รวบรวมจำนวนเจ้าหนี้ทั้งหมด มีหนี้สินรวมเท่าไร ผ่อนชำระไหวเดือนละเท่าไร หลังจากนั้น ผมให้ลูกหนี้ทำหนังสือถึงเจ้าหนี้ทุกราย แจ้งปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมภาระหนี้คงค้าง ของเจ้าหนี้แต่ละราย และขอเสนอวิธีการชำระหนี้

เช่น มีเจ้าหนี้ A B C D ทำหนังสือถึงเจ้าหนี้ A. แจ้งว่ามีใครเป็นเจ้าหนี้บ้างเสนอชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ A. ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น โดยขอลดดอกเบี้ย หรือ ตัดภาระหนี้ครึ่งหนึ่งหรือ หยุดดอกเบี้ยในอนาคต พร้อมผ่อนชำระขั้นต่ำรายเดือน

หากเจ้าหนี้ A ยินยอมให้ประนอมหนี้ ผมก็ให้ลูกหนี้เริ่มต้นชำระหนี้ครับ (ปกติผมจะเริ่มจากเจ้าหนี้ที่มีภาระหนี้น้อยที่สุดก่อน) ผมจะหนังสือแบบนี้ส่งให้เจ้าหนี้ทุกราย ทางจดหมายแบบลงทะเบียนตอบรับครับ ถ้าเจ้าหนี้รายไหนไม่ยินยอมประนอมหนี้ ก็ให้รอจนกว่าจะชำระหนี้กับเจ้าหนี้รายอื่นๆ เสร็จสิ้น แล้วค่อยกลับมาเจรจากับเจ้าหนี้ที่ไม่ยอมอีกครั้งครับ

2. กรณีถูกฟ้องเป็นคดีแพ่ง


สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเลย คือ ตรวจคำฟ้องครับ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจฟ้องเจ้าหนี้ตลอดจนมูลหนี้ ภาระหนี้ อายุความมีข้อต่อสู้ได้ตามกฎหมายหรือไม่หลังจากนั้นดูว่ากำหนดพิจารณาวันไหน เวลาอะไรต้องยื่นคำให้การภายในวันที่เท่าไรครับ

2.1 กรณีมีเจ้าหนี้รายเดียว 


ไม่ว่าจะมีมูลหนี้เดียวหรือหลายมูลหนี้ แบบนี้จะเจรจาง่ายครับ ส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันการเงิน
ผมจะเริ่มต้นจากทำเป็นหนังสือขอเจรจาก่อน หากมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ ผมจะพาลูกหนี้เข้าไปพบ
หลักการเจรจาตามสูตรเดิมครับ ขอลดดอกเบี้ย หรือ ตัดภาระหนี้ครึ่งหนึ่ง หรือ หยุดดอกเบี้ยในอนาคต
พร้อมผ่อนชำระขั้นต่ำรายเดือน

ถ้าเจรจากันได้ ก็กลับไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาล

ถ้าเจรจาไม่ได้ก็จะแถลงศาล ขอเข้าศูนย์ไกล่เกลี่ย การเข้าศูนย์ไกล่เกลี่ย เบื้องต้นอาจจะได้เงื่อนไข
ที่ลูกหนี้อยู่ในสภาวะอึดอัดใจบ้าง แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว
ลูกหนี้ยังสามารถกลับเข้าไปเจราจา ขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ได้อีก

2.2 กรณีเจ้าหนี้หลายราย


ต่างรุมฟ้องกันมาในคราวเดียวกัน หรือในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ผมจะกลับไปใช้วิธีการตามข้อ 1 + ข้อ 2.1 ครับ

3. กรณีถูกฟ้องเป็นคดีอาญาเกี่ยวกับความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค (เช็คเด้ง)


สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเลย คือ ตรวจคำฟ้องเช่นกันครับดูว่าใครเป็นโจทก์ พนักงานอัยการ หรือ เจ้าหนี้
ดูอำนาจฟ้อง มูลหนี้ ภาระหนี้ อายุความมีข้อต่อสู้ได้ตามกฎหมายหรือไม

หลังจากนั้นดูว่ากำหนดพิจารณาวันไหน เวลาอะไรต้องยื่นคำให้การภายในวันที่เท่าไรเตรียมหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว)

สิ่งสำคัญที่สุดในคดีอาญา ต้องคิดเสมอว่า ขาของลูกหนี้ข้างหนึ่งอยู่ในคุกแล้ว สถานะทางกฎหมายไม่มีอำนาจมากนัก ต้องให้ลูกหนี้ไปศาลตามกำหนดนัด เพื่อป้องกันการออกหมายจับ และไม่ให้ศาลอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย

ในคดีเช็ค ไม่ว่าจะมีเจ้าหนี้รายเดียวหรือหลายราย ต้องรีบเจรจาให้ได้ข้อยุติ และทำบันทึกข้อตกลงต่อหน้าศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวครับ (คดีเช็ค เป็นความผิดต่อส่วนตัวสามารถเจรจาถอนคำร้องทุกข์หรือถอนคำฟ้องได้)

การชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้ในคดีอาญา ผมจะให้ลูกหนี้นำเงินมาวางต่อศาลเพื่อให้สำนวนคดีมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา และเป็นการแสดงเจตนาให้ศาลทราบ หากในอนาคตเกิดข้อผิดพลาดขึ้น เช่น ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เป็นบางครั้ง และมีการยกคดีกลับขึ้นมาพิจารณาใหม่ ลูกหนี้ยังมีหลักฐานเป็นเอกสารในสำนวนคดี เพื่อขอความเมตตาจากศาลได้ครับ

4. กรณีถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย


(สำหรับบุคคลธรรมดา มีภาระหนี้ตั้งแต่ 1 ล้านบาท นิติบุคคล มีภาระหนี้ตั้งแต่ 2 ล้านบาท) เบื้องต้นตรวจคำฟ้องตามข้อ 2 และ 3 ครับ และดูต่อไปว่าเจ้าหนี้ที่ฟ้องมา เป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาเดิม หรือเป็นเจ้าหนี้ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง เช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์ทั้งหลาย เจ้าหนี้เช่นนี้ ร้อยละ 100 เป็นการรับโอนมาโดยการประมูลหนี้ แน่นอนว่าไม่ได้รับโอนมา โดยเสียค่าใช้จ่ายเต็มมูลค่าตามจำนวนหนี้การรู้ตรงจุดนี้ จะทำให้เราเจรจาง่ายขึ้น สามารถขอลดภาระหนี้ได้มากขึ้นด้วยครับ โดยเฉพาะถ้าเป็นคดีที่ไม่ทรัพย์จำนอง (เจ้าหนี้ไม่มีประกัน)หรือเจ้าหนี้สืบทรัพย์ลูกหนี้แล้วไม่พบ
หลักการเจรจาจะใชัหลักการเดียวกับข้อ 1. ครับ

5.กรณีศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด


ก่อนถึงวันตรวจคำขอรับชำระหนี้ ลูกหนี้ต้องไปพบเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (จพท.) เพื่อให้การสอบสวนเกี่ยวกับสถานะการดำรงชีพ มีใครเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ บ้าง และหากจะออกต่างประเทศ ต้องทำเรื่องขออนุญาตเป็นรายครั้งไป

สามารถรายงานตัวได้ที่ไหนบ้าง
- สนง. บังคับคดีจังหวัด ที่ลูกหนี้มีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้าน
- กรมบังคับคดี ถ.บางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

การไม่ไปพบ จพท. จะเป็นเหตุให้ถูกออกหมายจับนะครับ แต่ไม่ใช่เป็นจับเพื่อกักขังหรือคุมขังจับเพื่อให้ได้ตัวมารายงานต่อ จพท. ครับ

ต่อมาเมื่อถึงวันตรวจคำขอรับชำระหนี้ ผมจะตรวจสำนวนคำขอดูว่ามีเจ้าหนี้ทั้งหมดกี่ราย ภาระหนี้รวมกันเท่าไร ภาระหนี้มีสภาพบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ ถ้าลูกหนี้ประสงค์เจรจา สามารถยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายได้หรือไม่ (เจ้าหนี้ที่ไม่ได้เป็นโจทก์ฟ้องในคดีล้มละลายต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้
ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดนะครับ ไม่ว่าหนี้นั้นเราจะไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เลยก็ตาม ตลอดจนประกันชีวิตที่เราส่งเบี้ยอยู่ บริษัทประกันจะงดรับเบี้ยเรา และถ้า จพท. ตรวจสอบพบว่า
มีมูลค่าเวนคืนเงินสดในกรมธรรม์ประกันชีวิต จพท.จะใช้ของลูกหนี้เวนคืนกรมธรรม์
เพื่อนำเงินนั้นเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ครับ)

ถ้าลูกหนี้ประสงค์ประนอมหนี้ จพท. จะให้เขียนคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย และสำเนาให้กับเจ้าหนี้ทุกรายครับ หลัวจากนั้นเจ้าหนี้จะแจ้งว่ารับหรือไม่รับคำขอ ถ้ารับและศาลมีคำสั่งอนุญาต ก็เริ่มต้นก็ผ่อนชำระตามเงื่อนไขที่ให้ไว้ ถ้าไม่รับ จพท. จะทำความเห็นต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย

การประนอมหนี้หลังล้มละลาย สามารถทำได้ครับ โดยลูกหนี้มีสิทธิขอประนอมหนี้ภายหลัง ที่ศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้วได้อีก

ลูกหนี้ที่ศาลมีคำพิพากษาให้ล้มละลาย ถ้าให้ร่วมมือกับ จพท. ตลอดระยะเวลาการล้มละลายจะใช้เวลาไม่เกิน 3 ปี ครับ

แต่ถ้าลูกหนี้ไม่ให้ความร่วมมือกับ จพท.จพท. จะมีคำขอศาลให้หยุดนับระยะเวลาไว้โดยศาลจะกำหนดระยะเวลาที่หยุดนับทั้งนี้เมื่อรวมระยะเวลาที่หยุดนับจะต้องไม่เกิน 2 ปี ครับ(รวมล้มละลาย 5 ปี)

การนับระยะเวลาล้มละลายยังมีอีก 2 กรณี คือ
ขยายระยะเวลาเป็น 5 ปี และ
ขยายระยะเวลาเป็น 10 ปี
ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ ขอละไว้ก่อนนะครับ

เมื่อครบกำหนดแล้ว ศาลจะมีคำสั่งปลดหนี้ลูกหนี้จากการล้มละลาย ส่วนการประกาศราชกิจจานุเบกษา เป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนดขั้นตอนไว้

เมื่อลูกหนี้ปลดจากการล้มละลายแล้ว ลูกหนี้ย่อมหลุดพ้นจากหนี้ทั้งปวง (เว้นแต่หนี้ภาษีอากร หรือหนี้ซึ่งเกิดจาก ความทุจริตฉ้อโกงของลูกหนี้ ที่ไม่หลุดพ้นด้วย)

การหลุดพ้นหนี้ หมายถึง สภาพการบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย เจ้าหนี้ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
แต่ภาระหนี้ยังมีอยู่ในระบบ ติดเครดิตบูโรอยู่ จนกว่าเจ้าหนี้จะได้ชำระหนี้เสร็จสิ้นจริงๆ ครับ

[1]ทค. ธนาพงศ์ ทิพย์ภูริพงศ์
Line ID : rawint
FB : thanaphong.rawint

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=910618899034176&set=a.119695144793226.22242.100002582231752&type=3&permPage=1

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

5 เทคนิคการสร้าง Brand

ธุรกิจไม่มี Brand หรือ ฺBrand ไม่ชัดจะอยู่ลำบาก บริษัทที่มี Brand ชัดๆ ลูกค้าจะรู้สึกว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้นจากสิ่งที่เราอยากจะให้เป็นอย่างไร เช่นเข้าร้านสตาบักแล้วเท่ อยากแชร์ให้ชาวบ้านรับรู้ เจ้าของร้านก็รับทรัพย์ นับเงินกันไม่ทัน

การสร้างแบรนด์ต้องรู้ว่าเรากำลังจะขายใคร ได้ทำตลาดถูก Customer คือกลุ่มลูกค้ามาดูที่ยังไม่จ่ายเงิน Consumer คือลูกค้าที่จ่ายเงิน กับ end-user คือคนที่ใช้สินค้าจริงๆ อย่างไปซื้อนม คนอาจไปดูกันทั้งบาน คนจ่ายเงินคือคุณแม่ ส่วนคนกินคือลูก ดัังนั้นเราต้องพยายามเน้นไปที่ Consumer inside พยายามทำความเข้าใจลูกค้าให้ลึกๆ เพราะพวกนี้เขาเป็นคนจ่ายเงิน

เมื่อรู้จักลูกค้าแล้ว เวลาจะสร้าแบรนด์มีเรื่องต้องคิด 5 เรื่องดังนี้ เวลาคิดให้เขียนแต่ละข้อออกมาเป็น 1 ประโยคสั้นๆ และควรมีประเด็นเดียว ถ้ามีหลายประเด็นลูกค้าจะจำไม่ได้ ทำแบรนด์ไปก็เสียเวลา

1.Believe


ต้องดูว่าเราจะสื่อสารเรื่องราวให้ลูกค้าจะมองเห็นและมีความเชื่อกับแบรนด์เราว่าอย่างๆไรโดยมี 2 ประเด็นที่ต้องคิดคือ

  • Brand Meaning เราให้ความหมายของแบรนด์อย่างไร
  • Brand Character แบรนด์เรามีลักษณะให้คนคนอื่นรู้สึกอย่างไร

2.Relevant


แบรนด์เราทำให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้นได้อย่างไร ส่วนใหญ่ก็เป็นการแก้ปัญหาอะไรซักอย่างให้ลูกค้าของเรา คนเรามีปัญหาร้อยแปด ถ้าบริษัทเรามีแบรนด์ดีๆ เวลาลูกค้ามีปัญหาก็จะนึกถึงเรา เงินจะไหลมาเทมา

3.Ability


แบรนด์เรามีความสามารถเฉพาะตัวอะไร 

4.Network


ช่องทางที่ทำให้คนอื่นรู้จัก จะสื่อสารสร้างแบรนด์ช่องทางไหนก็ว่าไป

5.Differentiated


ความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร แบรนด์เราทำอะไรที่เด่นๆ และไม่เหมือนชาวบ้าน ใช้เป็นจุดขายได้ แต่ถ้าจะอยู่อย่างยั่งยื่นต้องแข่งด้วยความสามารถที่คนอื่นยากที่จะเลียนแบบได้ จะเป็นการป้องกันคู่แข่งเข้ามาได้ซักพักหนึ่ง 

หัวใจของการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งอยู่ที่ข้อ 2 และ 4 ถ้าแต่ละแบรนด์สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ว่า ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้อยางไร และมีความแต่กต่างจากลูกค้าอย่างไร แบรนด์เราก็จะเข้มแข็ง เงินทองก็จะไหลมาเทมา เยี่ยมจริง





 

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

3เรื่องที่ต้องระลึกเสมอเวลาพูดกับลูกน้องไม่ให้งานล่มจม

เวลาพูดกับลูกน้อง ถ้าพูดไม่ดีคนก็ไม่อยู่กับเรา ระยะยาวงานเสียหายบริษัทล่มจม David Rock ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Quiet Leadership ถึงหนึ่งในทักษะที่ผู้บริหารที่ต้องการดึงศักยภาพของลูกน้องให้มีผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น คือ การพูดที่มีเจตนาดี โดยที่คำพูดนั้นจะต้อง...

1.กระชับ รวบรัด


เห็นภาพสิ่งที่คุณต้องการจะพูด ทำให้ลูกน้องเข้าใจถึงสิ่งที่คุณต้องการสื่อออกไป หากคุณอารัมภบทยาวนานเกินไป หรือพูดบ่นด่าแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้ว คนฟังก็คงไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่คุณพูดว่าคุณต้องการอะไร จำไว้ว่าหน่วยความจำของสมองในการทำงานของคนเรามันมีจำกัด!

2.เฉพาะเจาะจงในสิ่งที่คุณพูด


 เช่น ไม่ควรพูดว่า "ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลัง" แต่ให้พูดว่า "ไว้คุยกันเรื่องนี้บ่ายสามโมงวันนี้ว่าเราจะมีหัวข้ออะไรบ้างในการประชุมวันพุธหน้า" เมื่อมีความเฉพาะเจาะจง คุณได้สร้างความไว้วางใจให้กับลูกน้องของคุณได้เป็นอย่างดี และเค้าสามารถรู้ถึงสิ่งที่คาดหวังได้

3.มีเมตตาต่อคนฟัง


มุ่งเน้นไปที่ผลกระทบในเชิงบวกต่อลูกน้องของคุณ เลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง และให้ความสนใจในการสนทนาแบบเต็มที่

การพูดที่มีเจตนาดีต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกฝน แต่ทุกคนก็สามารถทำได้ โดยก่อนอื่นต้องตระหนักรู้ในตัวเองก่อน ว่าการพูดของเราเป็นแบบไหน และทุกครั้งที่จะพูดคุยกับลูกน้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาผลการปฏิบัติงาน ให้ถามตัวเองก่อนว่าสิ่งที่เรากำลังจะพูดนั้นมัน กระชับ เจาะจง และมีเมตตา หรือเปล่า

ที่มา https://www.facebook.com/CoachACoach/photos/a.1129329067082189.1073741828.1129140050434424/1197766286905133/?type=3

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิธีทำให้ blogger แสดงรูป preview บน facebook ได้ถูกต้อง


ปัญหา blogger แสดงผลรูป preview บท facebook ไม่ถูกต้อง หรือขนาดภาพไม่ได้ เป็นปัญหาใหญ่สำครับคนทำเว็บที่ไม่ได้ใช้ wordpress อย่างผมมาก เพราะเวลาเอาบบทความไปแชร์ ตาม social media ต่างๆ แล้วมันไม่แสดงผลอย่างที่เราต้องการ ทำให้ยอดแชร์ไม่ได้ดั่งใจ หลังจากมั่วๆมาซักพัก ก็เจอวิธีการครับแค่ใส่ CODE Open Graph tags ไปนิดเดียว

แก้ไข HTML
ใส่CODE 
CODE ที่ต้องก็อบไปแปะ ระหว่าง tag <HEAD></HEAD>

<!-- Begin Open Graph metadata -->
<b:if cond='data:blog.postImageThumbnailUrl'>
<meta expr:content='data:blog.postImageUrl' property='og:image'/>
<b:else/>
<meta content='URL ของรูปที่จะให้แสดงถ้าไม่มีรูปในบทความ' property='og:image'/>
</b:if>
<meta content='600' property='og:image:width'/>
<meta content='315' property='og:image:height'/>
<!-- End Open Graph metadata -->

โค๊ต Open Graph tags นี้จะบอก facebook ให้รู้ว่า

  • ให้เอารูปมาในโพสมาแสดง ไม่ต้องไปหาที่ไหน
  • ถ้าในบทความไม่มีรูป ก็จะเอา ภาพจากURL ของรูปที่จะให้แสดงถ้าไม่มีรูปในบทความ
  • ทำรูปให้มันกว้าง 600 สูง 315
ภาพออกมาสวยงาม
นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำจาก facebook (https://developers.facebook.com/docs/sharing/best-practices) บอกมาว่า
  • ภาพที่ดีควรมีขนาด 600 x 315 แต่ที่แนะนำคือ 1200x630 หรือคิดเป็นสัดส่วน 1.91:1
  • ถ้าขนาดต่ำกว่า 200 x 200 ภาพจะไม่ขึ้น
ทีนี้เวลาโพส ถ้าเราอยากมั่นใจว่าภาพจะเป็นอย่าไร ให้
  • ไปทดลองดูภาพที่ URL Debugger https://developers.facebook.com/tools/debug แล้วก็รอดูว่าภาพจะเป็นอย่างที่เราต้องการหรือเปล่า
  • กำหนดค่า og:image:width และ og:image:height  ลงใน Open Graph tags ซะเลย ในโคตที่่ให้ ก็อบวางผมตั้งค่าไว้ที่ 600 x 315 
หวังว่าบทความนี้คงช่วยมิตรสหายได้นะครับของคุณครับผม

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

กลยุทธ์ขายของแพงให้ลูกค้ามองว่าถูก

ไม่ว่าคุณจะขายสินค้าราคาถูก หรือสินค้าราคาแพง ก็ใช้ความพยายามเท่ากัน ถ้าเราสามารถขายสินค้าให้ราคาแพงขึ้นได้ ชีวิตก็จะดีขึ้น

กรณีศึกษาที่เห็นได้ชัดคือข่าว ชาวเน็ตช้ำใจกินข้าวกระเพราข้างทางจานละ 150 บาท ไม่เคยกินราคาแพงเกินขนาดนี้ (http://news.sanook.com/1873395/) ทำให้นึกถึงเรื่งอกลยุทธ์การตลาดการตั้งราคา

จากเคสนี้จะเห็นว่าในมุมมองของลูกค้า (ชาวเน๊ต)

  • ข้าวผัดกระเพรากุ้งร้านป้าขาย 150 "แพง"
  • แต่ในทางกลับกัน เวลาไปกิน ข้าวผัดกระเพราห้างสุดชิคย่านพร้อมพงษ์150 บอก "คุ้มค่า"
แสดงว่าจริงๆ แล้วค่าความถูกแพงในมุมมองของลูกค้า ไม่ได้เป็นค่าสมบูรณ์ ว่าต้องราคาเท่าไรถึงถูก ราคาเท่าไรถึงแพง แต่เป็นถูกแพงเชิงสัมผัส โดยลูกค้าจะเปรียบเทียบระหว่างสิ่งทีได้รับกับสิ่งที่จ่ายว่าผลตอบแทนคุ้มทางเลือกที่ยอมสละไปหรือไม่

ในกรณีนี้ ข้าวผัดกระเพรากุ้งร้านป้าขาย 150 ในมุมมองผู้บริโภคมองว่า "แพง" เพราะคุณค่าที่เขาได้ ลูกค้าเอาไปเปรียบเทียบกับร้านค้าข้างทาง ที่ราคาไม่เกิน 40 บาท เลยมองว่าแพง

ในทางกลับกันถ้าทางร้านปรับการตกแต่งเป็น ไสตร์ห้างสุดชิคย่านพร้อมพงษ์ ใส่สตอรี่ว่าเป็นกุ้งจากทะเลมิติเรเนี่ยน ล่องเรือไปจับเองกับมือ ต้องเสี่ยงชีวิตกว่าจะหาได้ ข้าว กระเพรา กระเทียม พริก ปลูกเอก ทั้งหมด โม้ๆไป

คุณค่าในใจของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้น จากเดิมมองแค่ funtion ก็จะเพิ่ม value เป็นอาหารที่มาจากความยากลำบาง และยอมจ่ายแพงมากขึ้น

เมื่อรู้ว่าลูกค้าไม่ได้มองว่าถูกหรือแพงจากราคา แต่เป็นการเปรียบเทียบว่าสิ่งที่เสียไป กับได้มา คุ้มหือไม่ กลยุทธ์ขายของแพงให้ลูกค้ามองว่าถูก คือต้องเพิ่มคุณค่าที่ลูกค้าต้องการเข้าไปให้ได้ แล้วเขาจะยอมซื้อเรา

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

5ไอเดียทำธุรกิจจากที่ทำงานคุณ

หลายคนทำงานประจำอยากทำธุรกิจหารายได้เสริมแต่ไม่รู้เริ่มต้นอย่างไร จริงๆมองไปรอบๆofficeนี่คือเงินทั้งนั้นถ้าเรารู้จักคิดต่อยอดเพราะ รายจ่ายของบริษัทมองอีกทางก็คือรายได้ของเรานั่นเอง เราเพียงแค่เสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองลูกค้าได้ก็ได้ธุรกิจละ

1.การจัดหาเงินทุน

แหล่งทุนคือหนี้สินและส่วนของเจ้าของ ไม่รู้เริ่มทำอะไรก็ปล่อยกู้คนเริ่มทำธุรกิจนั่นแหละเพราะช่วงแรกธนาคารมักไม่ค่อยปล่อยกู้ เงินหนาห่อยก็ปล่อยสินเชื่อแฟกตอริ่ง หรือรับซื้อลดลูกหนี้ บริษัทไหนร้อนเงินแต่มีลูกหนี้จ่ายเงินแน่ๆก็เอามาขาย

แหล่งทุนก็จะมีอาชีพนายหน้าจับนักลงทุนที่มีเงินกับบริษัทที่ต้องการเงินทุนมาเจอกัน ก็ได้หัวคิวเงินดี

2.การลงทุนซื้อสินทรัพย์

เมื่อหาเงินทุนได้แล้วก็เริ่มลงทุน หรือบริษัทที่จะขยายกิจการลงทุนเพิ่ม ยังไงก็ต้องซื้อที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ เกิดอาชีพเพียบเช่น นายหน้าขายที่ รับเหมาสร้างอาคาร วางระบบน้ำ ไฟ ความเย็น ขายเครื่องจักร

เมื่อลงทุนไปแล้วก็ต้องดูแลรักษา อาชีพรับเหมาบริการบำรุงรักษา ซ่อมเครื่อง ขายอะไหล่ ฯลฯ

หรืออาจไปรับจ้างผลิดเป็นoemไปก็ได้

3.เงินทุนหมุนเวียน

เมื่อธุรกิจดำเนินไป ก็ต้องมีลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ เจ้าหนี้การค้าที่เอาของมาให้ก่อนค่อยเก็บเงิน วนไปวนมา ดูดีๆ ก็เป็นอาชีพได้

ลูกหนี้การค้า ขายยังไม่ได้เก็บเงิน ถ้าเริ่มช้ารับจ้างทวงหนี้ก็ได้

สินค้าคงเหลือ อาชีพเยอะทั้งขายอุปกรณ์คลังสินค้า รับจัดการlogistics. softwareบริหารlogistics. ยามเฝ้าคลัง ฯลฯ

เจ้าหนี้การค้า ถ้าสนิทๆฝายจัดซื้อก็เป็นsupplierเองซะเลย

4.ช่วยหารายได้

รายได้เป็นแหล่งที่มาของเงิน ถ้าเรามีนวัตกรรมที่ช่วงบริษัทหารายได้ได้เงินจะไหลมาเทมา เช่นเป็นนายหน้า ตัวแทนจัดจำหน่าย รับสินค้าไปขาย ขายระบบcrm ที่ปรึกษาการตลาด

5.งานสนับสนุน

งานสนับสนุนพวกนี้ขาดไม่ได้ ไม่มีงานไม่เดินเช่นเรื่องคน เราก็เป็นนายหน้าเปิดเป็นบริษัทheadhunter หาพนักงาน รับทำระบบเงินเดือน รับส่งคนงาน หาoutsource  รปภ  แม่บ้าน

ทำอพาร์ทเม้น ขายอาหาร ตลาดนัด. ขายอุปกรณ์สิ้นเปลืองสำนักงาน กระดาษ หมึก ฯลฯ ขายตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ

จริงๆแล้วไอเดียธุรกิจอยู่รอบตัวเราอยู่ที่เราจะเห็นแล้ว นำเสนอสินค้าและบริการเราอย่างไรนั่นเอง


วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

7จุดตายธุรกิจ SMEs


หลังจากทำธุรกิจมาหลายอย่าง เจ้งบ้าง รอดบ้าง ตั้งแต่ร้านอาหาร ปล่อยเงินกู้ ฟาร์มไก่ จัดสัมมนาเรื่องลงทุน แต่ชีวิตก็ยังสู้ต่อไปสนุกที่ได้ทำ ทำให้รู้ว่าจุดสำคัญที่ต้องหมั่นใส่ใจบ่อยๆ มีดังนี้

1.เรื่องคน


เรื่องคนนี่ผมมองเป็นจุดตายของธุรกิจเลย ตั้งแต่หัวสุดคือเจ้าของกิจการจนถึงพนักงาน ผู้บริหารถ้ายังเป็นคนเดิม ส่วนใหญ่การตัดสินใจก็ยังเหมือนๆเดิม ผลลัพภ์ก็ออกมาเหมือนๆเดิม

ในส่วนของพนักงาน ถ้าไม่มีพนักงานที่มีฝีมือพอ ความรับผิดชอบไม่มี ชอบรวนเล่นการเมืองพาทีมล่ม สุดท้ายก็พาเจ้งได้เหมือนกัน

นอกจากเรื่องฝีมือแล้วสถานการณ์ตอนนี้คือสภาวะการขาดแคลนแรงงาน หลายธุรกิจต้องพึงพาแรงงานต่างด้าว ความเสี่ยงคือถถ้าประเทศเหล่านั้นเริ่มพัฒนา GDP ใหญ่พอที่เขาจะกลับบ้านไปทำธุรกิจ และเริ่มสะสมทุนได้ เดี๋ยวก็กลับไป ดังนั้นอย่าหวังว่าเราจะแข่งด้วยต้นทุนแรงงานที่ราคาถูกได้อีกต่อไป

2.มองทิศทางลมให้ออก


ทำธุรกิจต้องมองทิศทางลมหรืออุตสาหกรรมให้ออก สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าปรับตัวไม่ทันกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป ก็เจ้งไปหลายธุรกิจ กรณีศึกษาที่ดังๆ ก็เช่น โกดัก ที่แพ้กล้องดิจิตอล โนเกีย ที่แพ้ android

หลักๆคือเราต้องมองให้ออกว่าตอนนี้เราอยู่ช่วงไหนของอุสาหกรรม ถ้าอยู่ในช่วงต้นๆ คู่แข่งยังไม่มาก ทำอะไรออกมาขายก็รวยเพราะตลาดยังไม่ตัน ถ้ามองไม่ดีจะเจอภัยคุกคาม แอบๆคืบคลาดเข้ามา ช่วงแรกๆมีคู่แข่งใหม่เข้ามาก็ยังไม่น่ากลัวเท่าไร เพราะตลาดยังไม่ตัน พอเข้าช่วงอิ่มตัวตลาดเริ่มตันลูกค้าใหม่ไม่ค่อยมี จะเริ่มออกโปรโมชั่นแข่งกัน พอตลาดตันมากๆเข้าก็เริ่มลดราคา ส่วนภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดคือเรื่องของสินค้าทดแทน เราไม่รู้ว่าสินค้าทดแทนจะเข้ามาเมื่อไร และลูกค้ามีแนวโน้มเปลี่ยนไปใช้งานสินค้าทดแทนมากขึ้นหรือไม่

3.การทำกำไร


ธุรกิจจะมีกำไรได้รายได้ต้องมากกว่ารายจ่าย ในการทำธุรกกิจ ถ้ามีระบบควบคุมการใช้จ่ายเงินไม่ดี ส่วนใหญ่จะเงินออกแบบไม่ค่อยรู้ตัว เผลอเงินไหลออกไปกับอะไรก้ยังไม่รู้ ดังนั้นผู้บริหารต้องคอยดูว่ารายได้เป็นอย่างไรยังเข้ามาเรื่อยๆหรือไม่ ต้นทุนขายยังคุมได้อยู่หรือเปล่า ค่าใช้จ่ายขายและบริหารมีอะไรหลุดไปแปลกๆอย่างไร และมีภาระดอกเบี้ยและภาษีเกินไปหรือไม่อย่างไร

โดยเฉพาะถ้าอุตสาหกรรมเริ่มเข้าสู่ภาวะ อิ่มตัวคู่แข่งเริ่มตัดราคาและเราไปเล่นสงครามราคาด้วย แสดงว่าเราต้องใช้กลยุทธ์ต้นทุนต่ำถ้าคุมต้นทุนได้ไม่ดี จะแพ้คู่แข่งที่สายป่านยาวกว่าได้

4.เงินทุนหมุนเวียน


หลายคนไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ หมุนเงินไม่ทัน เจ้าหนี้การค้ามายืนรอหน้าโรงงาน แต่เงินไม่มีซักบาท สินค้าก็ค้างอยุ่เต็มคลังสินค้ายังขายไม่ออก ลูกหนี้การค้าก็ยังไม่จ่ายเงิน วงเงินกู้เบิกเกินบัญชีก็ใช้ไปหมดแล้ว สุดท้ายก็ต้องเจ้งตามๆกันไป หลักๆเราต้องคอยดูว่า

  • ลูกหนี้ยังอยู่ในกำหนดหรือไม่ มีรายใหนที่มีแนวโน้มค้างชำระบ้าง 
  • สินค้าคงเหลือ ล้นเกินคลังสินค้าเริ่มมีของค้างสต็อกหรือไม่ ถ้าเป็นสินค้าที่เป็นเทคโนโลยีแล้วมีของค้างสต็อกเยอะๆ อาจเจ้งได้เพราะสินค้าเริ่มตกรุ่น สุดท้ายก็ต้องเอามาเลหลังถูกๆ
  • เจ้าหนี้การค้า จะขอยืดเขาได้หรือไม่ แต่ปกติยืดยาก


5.สินทรัพย์ไม่ได้ใช้ประโยชน์


ธุรกิจที่ดีความจะตัวเบา สินทรัพย์ในบริษัทควรใช้ประโยชน์ในการสร้างรายได้ได้ทุกชิ้น ไม่ใช้ซื้อมาแล้วไม่เกิดประโยชน์ เช่นอุปรณ์ตกแต่ง office อาจดูดีช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้องค์กร แต่เยอะไปก็เงินจม

บางครั้งสินทรัพย์ไม่ได้ใช้เกิดจากการลงทุนใหญ่เกินไป มองตลาดผิดคิดว่าจะดี ก็ลงทุนซะใหญ่โต แต่พอตลาดไม่มาอย่างที่คิด รายไม่มา แต่ต้นทุนคงที่บานเบอะ ทั้งค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าเสื่อม ดอกเบี้ย สุดท้าย เจ้ง

6.เรื่องหนี้สิน


หนี้สินบางคนมองเป็นปัญหา แต่จริงๆแล้วมีประโยชน์ถ้ากู้ในจำนวนที่เหมาะสม และมีกระแสเงินสดเพียงพอจ่ายหนี้ เพราะเหมือนคานงัดที่ช่วยให้เรารวยเร็วขึ้น เหมือนรวยด้วยเงินคนอื่น บางคนซื้อคอนโดมากะปล่อยให้เช่า สมมติลงทุน 1 ล้านบาท กู้เงินมา 9 แสน เงินทุนตัวเอง 1 แสน ถ้าปล่อยกู้เดือนละหมื่น ปีละ 120,000 แสดงว่าสินทรัพย์ สร้างลตอบแทนได้ปีละ 120,000/1,000,000=12% แต่ถ้าเทียบกับเงินที่เราลงทุนเพียง 100000 บาท เท่ากับเราได้ผลตอบแทนถึง 120,000/100,000=120%ต่อปี มันเยี่ยมจริงๆ

ปัญหาหนี้สินจริงๆเป็นเหมือนปัญหาปลายทางของธุรกิจ ถ้ามองสิ่งแวดล้อมทางธรกิจผิด ก็วางกลยุทธ์ผิด ลงทุนผิดทาง รายได้ไม่มา แต่ก็อยากอยู่ต่อก็กู้หนี้ยืมสินมาสู้ต่อ สุดท้ายหนี้บานขึ้นเรื่อยๆ ก็เจ้งได้

7.เงินทุนไม่พอ


เรื่องเงินทุนเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนที่อยากเป็นเถ้าแก่ใหม่ทุนท่าน เพราะจะทำธุรกิจนอกจากความชำนาญในธุรกิจนั้นแล้วก็ต้องมีเงินลงทุนในการสร้างกิจการ โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่ต้องมีการขยายงานเพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ การกู้เงินจะเป็นเรื่องยากมากเพราะเจ้าหนี้ไม่เชื่อว่าเราสามารถทำได้จริงๆ หรือถ้ากุ้ได้ก็ต้องกู้ในต้นทุนที่แพงกว่าชาวบ้านเขา บางคนก็ต้องไปเปียแชร์มา ไม่เหมือนธุรกิจที่ดำเนินมานานแล้วธนาคารแย่งกันปล่อยกู้จนนับเงินไม่ทันกันเลยทีเดียว

เมื่อเงินทุนจำกัด การทำธุรกิจมักต้องทำด้วยความจำกัดจำเขี่ย เงินก็ไม่มี ช่วงแรกๆลูกค้ายังไม่ติด รายได้ไม่เข้า จะจ้างพนักงานก็ไม่มีเงินจ้าง ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่กรรมการผู้จัดการยันแม่บ้าน เงินทุนขยายร้านก็ไม่มี เงินทุนหมุนเวียนก็ขาด สุดท้ายเจ้ง ดังนั้นจะเริ่มทำธุรกิจต้องวางแผนดีๆนะครับ ว่าต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร และเงินที่ใช้หมุนในธุรกิจเป็นเท่าไร

ทั้ง 7 ข้อนี้เป็นปัญหาที่เจอบ่อยๆในธุรกิจ SME ครับ วางแผนจัดการดีๆตั้งๆแต่ต้นก็ไม่มีปัญหาอะไรครับผม เหลือแค่ใจสู้หรือเปล่าเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

3เรื่องที่ต้องระวังในการขายลูกค้ารายใหญ่(Key Account)

ลูกค้ารายใหญ่หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม “Key Account” นั้นมีคุณสมบัติเฉพาะหลายๆอย่างที่ไม่เหมือนลูกค้าขนาดเล็กหรือขนาดกลางทั่วไป
หลายบริษัทตระหนักในจุดนี้ดีและมีการแยกแผนกออกมาอย่างชัดเจนเป็นแผนก Key Account
หรือบางบริษัทมีการแบ่งขนาดของลูกค้าและคัดเลือกพนักงานอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะมาดูแล Key Account ต่างหากเลย
มีคุณสมบัติ 2-3 ข้อของ Key Account ที่ผมอยากมาแบ่งปันให้เห็นตามนี้ครับ

1.ขั้นตอนการตัดสินใจซับซ้อน
ต้องร่วมอนุมัติสั่งซื้อด้วยกลุ่มคนหลายคน ข้อระวังคืออย่ามั่นใจว่าคนที่คุณคุยอยู่จะฟันธงทุกสิ่งอย่างให้คุณได้

2.อย่าหลงดีใจว่าแค่ได้ออเดอร์มาแล้ว เพราะคุณอาจปิดโอกาสให้ตัวเอง
Key Account รายเดียวอาจเปรียบเหมือนลูกค้ารายเล็กๆน้อยๆซ่อนอยู่ในนั้นอีกเป็นสิบราย หาให้เจอว่ามีแผนกไหนอีกบ้างที่เราจะขายอะไรเพิ่มได้

3.ออเดอร์แรกสำคัญมาก
ห้ามคิดเด็ดขาดว่าเราคือฝ่ายขาย ดังนั้นตอนส่งมอบต้องเป็นหน้าที่ของแผนกอื่น เพราะถ้าเราทุ่มเทเต็มที่กับออเดอร์แรก งานต่อๆมาอาจวิ่งเข้าหาโดยที่เราไม่ต้องออกแรงเลย

ลองดูครับว่าลูกค้ารายไหนของคุณเข้าเค้าเป็น “Key Account” บ้างและพยายามอย่าละเลยหัวข้อเบสิคดังกล่าวที่ว่ามานะครับ

ที่มา https://www.facebook.com/Sales101Thailand/photos/a.903098266381755.1073741828.899449636746618/1047203155304598/?type=1

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำงานแบบ Multitasking ดีจริงหรือ

Multitasking [1]

แม้ว่าใน Job Description ของงานในปัจจุบันมักจะบอกว่าให้พนักงานสามารถทำงานแบบ Multitasking ได้ จนกลายเป็นความคิดกันว่ามันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคนในปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว Multitasking นั้นกลับไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกแนะนำเสียเท่าไรนัก แถมออกจะเป็นสิ่งที่หนังสือพัฒนาตัวเองหรือสอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพบอกให้เลิกทำเสียด้วย

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ผมลองรวบรวมข้อคิดต่างๆ จากการอ่านหนังสือหลายๆเล่มรวบรวมสรุปมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

1. Multitasking คือการทำงานแบบไม่โฟกัส

บางคนจะคิดว่าการทำงานแบบ Multitasking นั้นดีเพราะสามารถทำได้หลายๆ งานพร้อมๆ กัน ซึ่งนั่นน่าจะหมายความว่าเราสามารถทำงานให้เสร็จพร้อมๆ กันได้แทนที่จะทำเสร็จไปทีละงาน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมเชื่อว่าสิ่งที่หลายๆ คนก็พอจะรู้กันอยู่ก็คือการทำงานแบบโฟกัสทีละงานนั้นได้ผลดีกว่า การทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่า ได้งานที่มีคุณภาพมากกว่า แถมใช้เวลาน้อยกว่าการทำงานแบบ Multitasking เสียอีก ทั้งนี้เพราะในช่วงเวลาที่เรากำลังโฟกัสกับงานนั้น ทำให้สมองของเราถูกใช้งานอย่างเต็มที่ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ สามารถนำไปสู่การคิดที่ลึกซึ้งและมองรายละเอียดต่างๆ ได้ดีกว่าการมองทั่วๆ ไป และแน่นอนว่านั่นทำให้งานที่เกิดขึ้นจากการโฟกัสจะได้ผลดีกว่าเป็นไหนๆ แถมพอไม่ต้องคิดๆ หยุดๆ แล้วก็ทำให้ความคิดต่างๆ ต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาน้อยกว่าทำงานแบบต้องทำๆ หยุดๆ นั่นแหละ

2. การทำงานหลายๆ โปรเจคพร้อมกันไม่ได้แปลว่าทำงานแบบ Multitasking

เราอาจจะเห็นคนเก่งๆ หลายคนสามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาทำงานทุกอย่างพร้อมๆ กัน อันที่จริงถ้าเราไปดูพฤติกรรมของพวกเขาแล้วมันจะออกไปในทางลักษณะทำทีละงานได้อย่างรวดเร็วและค่อยไปสู่โปรเจคถัดไป ซึ่งพอกระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วก็เลยดูเหมือนว่าในแต่ละวันนั้นพวกเขาสามารถทำงานได้หลายโปรเจค สามารถรับงานได้มากกว่าคนทั่วๆ ไป

แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไปดูคนที่ทำงานแบบ Multitasking ประเภททำทุกๆ อย่างพร้อมกัน เดี๋ยวไอ้นั่นมาขัด เดี๋ยวสลับหัวไปคุยงานนั้น สุดท้ายก็จะกลายเป็นว่าทำงานแบบพอเสร็จไปได้แต่ก็ไม่ได้งานที่ดีสักเท่าไรนัก

3. มีไม่กี่คนที่ทำงาน Multitasking ได้ดีจริงๆ

ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นข้อมูลจากไหน แต่มีการพูดกันทำนองว่าในสัก 100 คนจะมีไม่ถึง 10 คนที่สามารถทำงาน Multitasking แล้ว “ได้ดี” จริงๆ ทั้งนี้เพราะพวกเขามีการถูกฝึกและปรับสมองให้สามารถรองรับการทำงานแบบนี้ได้

แต่สำหรับคนทั่วๆ ไปนั้น เราเป็นคนประเภทที่เหมาะกับการทำงานแบบใช้สมาธิมากกว่า อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพแวดล้อมปัจจุบันนั้นเรามีสิ่งเร้าและสิ่งกวนใจอยู่ค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นอีเมล์เด้งเตือน แชทต่างๆ ซึ่งนั่นทำให้เราคุ้นเคยกับการทำตัวเองให้ใช้ชีวิตแบบ Multitasking จนดูเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถทำมันอย่างมีประสิทธิภาพแต่อย่างใด

พอเป็นแบบนี้แล้ว เราอาจจะต้องปรับวิธีคิดในการทำงานกันใหม่เพราะ Multitasking อาจจะเป็นสกิลที่ไม่ได้ทำให้เราทำงานมีประสิทธิภาพอย่างที่หลายๆ คนคิด มันอาจจะเป็นนิสัยพื้นฐานของคนปัจจุบันแต่ก็อาจจะเป็นอุปสรรคในการทำงานไปพร้อมๆ กันด้วย

ถ้าใครเจอภาวะที่ต้องทำงานหลายๆ โปรเจค มีหลายงานเข้ามาพร้อมๆ กัน สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่การทำมันทุกงานไปพร้อมๆ กัน แต่มันคือการโฟกัสและจัดการไป “ทีละเรื่อง” นั่นแหละครับ

ที่มา[1] Pumpart Carusata, https://www.facebook.com/pumpart.crusata/posts/845611168858771

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

6 วิธีคิด สู่ความสำเร็จ โดยหนุ่มเมืองจันทร์

6 วิธีคิด สู่ความสำเร็จ โดยหนุ่มเมืองจันทร์ 3สค2558 บันทึกโดยคุณ Pui Pornchai
1) คิดแบบละเอียด
คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน เจ้าของ MK สุกี้ นำวิชาวิศวะที่เรียนมาด้วยวิธีคิดคำนวณอย่างละเอียด ทำให้ร้านสุกึ้ของแม่ยาย กลายเป็นบริษัทมหาชน
เมื่อสุกี้ขึ้นห้าง ห้างเปิด 10-21 น ชั่วโมงทำเงินของกิจการคือ 11-14 น กับ 17-20 น เวลา 6 ชั่วโมง กับการให้ลูกค้ารอน้อยที่สุด เพื่อให้ขายได้มากที่สุด ด้วยการคำนวณทุกนาที เพื่อประหยัดเวลาในทุก step เพราะ "เวลามีราคา"...
สมมุติแต่ละสาขาสามารถเรียกลูกค้าเพิ่มจากการประหยัดเวลาได้วันละ 40 โต๊ะ และสมมุติว่า MK มี 400 สาขา เฉลี่ยรายได้ 500฿/โต๊ะ
ความรวดเร็วในการบริการซึ่งทำให้ MK โดดเด่นแตกต่างจากร้านอื่น ด้วยการประหยัดเวลาในทุกขั้นตอน จากการพิถีพิถันคำนวณอย่างละเอียด ทำให้ MK มีรายได้เพิ่มขึ้นมากถึง 400 สาขา * 40 โต๊ะ * 500 บาท * 30 วัน * 12 เดือน = ****2,880,000,000฿ต่อปี****
Tips : งานของเรา "เวลามีราคา" เช่นเดียวกัน หากเราวางแผนการทำงานเพื่อให้ได้เนื้องานเท่าเดิมในเวลาที่น้อยลง จะสามารถทำให้เราเสมือนมีเวลาทำงานที่มากกว่าคนอื่น
ทุกๆเวลา 1 ชั่วโมงที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เรามีเวลาเพิ่มกว่าคนอื่นถึง 365 ชม/ปี หารด้วย 8 = เวลาที่เพิ่มขึ้นถึง 45 วันทำงานเลยทีเดียว. ...
2)คิดไม่ยาก
อย่าไปคิดว่าปัญหายากต้องแก้ด้วยวิธีที่ยุ่งยาก ปัญหายากๆหลายอย่าง สามารถแก้ได้ด้วยวิธีที่ง่ายนิดเดียว บ่อยครั้งไปที่เราเห็นใครแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง แล้วเราก็ถามตัวเองว่า " ง่ายแค่นี้ทำไมเราคิดไม่ได้ ( วะ 555 ) "
ความง่าย คือความงาม
3) คิดจากปัญหา
ปัญหาคือบิดาของนักประดิษฐ์
เมื่อมีปัญหา ย่อมมีผู้คิดวิธีแก้ปัญหา และนั่นทำให้สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น
เช่น คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของ Land&Hourses เจอวิกฤติปี 40 เป็นหนี้จากค่าเงินบาทลอยตัว 40,000 ล้านบาท. ตัดสินใจไม่ลดพนักงาน เพราะค่าจ้างพนักงานทุกคนมีผลกับต้นทุนแค่ 10% และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจต้องกลับมาดีอีกครั้ง คนเหล่านี้ก็จะเป็นทรัพยากรที่สำคัญในอนาคต
เมื่อพนักงานเยอะ แต่ไม่มีงานทำ คุณอนันต์เลยให้พนักงานไปทำการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าที่ซื้อบ้านแลนด์ว่าต้องการบ้านที่มีลักษณะใดบ้าง กลายมาเป็นแบบบ้านใหม่คือ แบบบ้านสบาย ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ มีครัวไทยด้านนอก ห้องน้ำเป็นแบบยืนอาบและเอาอ่างอาบน้ำออกไป จนขายดิบขายดีและเป็นบริษัทที่เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้
4) คิดจากคำถาม ( พลิกวิธีคิด )
ทำยังไงให้การทำในแบบที่ทำอยู่ แต่มีวิธีนำเสนอใหม่ให้น่าสนใจมากขึ้น
5) คิดนอกกรอบ
6) คิดแบบคนรวย ( คิดแล้วลงมือทำ )
คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่า วันหนึ่งเรา "ตื่น" ขึ้นมา แล้วจะกลายเป็น "คนรวย"
เขาคิดถูกแค่ครึ่งเดียว คือ "ตื่น" ขึ้นมา
ทอมัส อัลวา เอดิสัน
ความสำเร็จต้องมีส่วนผสม 2 อย่าง
1 ความคิด
2 ลงมือทำ
"ชีวิตเหมือนกับการขี่จักรยาน
เราต้องหาสมดุลระหว่างล้อ 2 ล้อ และต้องเคลื่นที่ไปข้างหน้า "
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ชีวิต = ความสำเร็จ + ความสุข
# เราอยากเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุด หรือ ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านกว้างที่สุด
"อย่าวัดตัวเองด้วยความสำเร็จของคุณ. แต่จงวัดมันด้วยความสุขของผู้คนรอบข้างคุณ"
เจอรี่ ซักเกอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Ghost
‪#‎การทำงานเป็นทีม‬#
ถ้าเราชนะ เราชนะทั้งทีม แต่ถ้าเราส่งไม้พลาด เราก็พ่ายแพ้ทั้งทีม
เราไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้ โดยการทำงานเพียงคนเดียว ทุกความสำเร็จล้วนเกิดจากการทำงานร่วมกัน
* จิตสำนึกนักวิ่งผลัด
1) รับไม้ให้ดีที่สุด
2) วิ่งในเส้นทางของตัวเองให้ดีที่สุด
3) ส่งไม้ให้ดีที่สุด
* 3 คำเพื่อความเป็นทีม
ดีใจด้วย
ขอโทษ
ไม่เป็นไร
‪#‎บทเรียนจากรถไฟชินคันเซ็น‬
ในตอนเริ่มต้นการก่อสร้างรถไฟชินคันเซ็นที่ประเทศญี่ปุ่น วิศวกรต่างทุ่มเทความคิดของการทำให้หัวรถจักรวิ่งได้เร็วที่สุด แต่ก็ต้องประสบปัญหากับความเร็วที่ลดลงจากการที่ต้องมีแรงฉุดลากจากโบกี้. แล้วก็มีวิศวกรคนนึงคิดว่า ทำไมต้องมีโบกี้ ทำไมเราไม่ให้ตู้รถไฟทุกตู้เป็นหัวรถจักรล่ะ เมื่อแต่ละตู้ต่างวิ่งด้วยความเร็วที่เท่ากัน ก็ไม่มีแรงฉุดใดๆ รถไฟก็จะวิ่งได้ความเร็วสูงมากตามที่ต้องการได้
ในชีวิตการอยู่ร่วมกันของเรา จุดเชื่อมต่อของรถไฟแต่ละขบวนที่ทำให้ทุกขบวนยังคงเกาะเกี่ยวและวิ่งไปพร้อมๆกันก็คือคำว่า
"ความเข้าใจ"

ที่มา
[1] https://www.facebook.com/pui.pornchai/posts/10153544383112360

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558

วิธีมัดถุงให้โป่งๆ

การมัดถุงอาหารให้โป่งๆ ถือเป็นนวัตกรรมทางด้านบรรจุภัณฑ์ของคนไทย ทำให้อาหารดูน่ากินมากขึ้น ขายดีขึ้น ฯลฯ เป็นทักษะที่พ่อค้าแม่ค้าควรมี และต้องใช้ความชำนาญอย่างมากมาดูวิดิโอสาทิตวิธีการมัดกันครับผม



f

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

วิธีป้องการพนักงานหน้าร้านทุจริต

วิธีคุมสต็อกหน้าร้าน

คำถาม

มีปัญหาเรื่องลูกน้องขายของไม่ออกบิล กับแอบเอาเงินไปทีละนิดโดยให้เหตุผลว่าให้เป็นส่วนลดลูกค้าไปบ้าง ทอนผิดบ้าง จะแก้ยังไงดี

คำตอบ

ทั้งสองปัญหา ต้องแก้ที่ต้นทาง คือการรับสต็อกเข้าร้านและมีการนับสต็อกสม่ำเสมอ ทั้งสุ่มนับและนับ 100% ขอให้ใช้วิธีตามนี้นะครับ ถ้าคุณทำประจำ ของในร้านคุณจะหายน้อยมากถึงไม่หายเลย ผมใช้วิธีนี้มาเป็น สิบปีแล้ว ทุกวันนี้ร้านในความดูแลกว่า 10 สาขา แท[ไม่มีของหายเลย


  1. ทำสต็อกการ์ด หรือโปรแกรมบัญชี (POS) อะไรก็ได้ โดยนับหน่วยเข้าเป็นหน่วยและเงินบาทราคาปลีก เช่าสาขานี้ รับสินค้าเข้าร้าน 10 ชิ้น ชิ้นละ 100 บาท รวมมูลค่า 1,000 บาท
  2. ออกกฎไม่มีการให้ส่วนลดทุกกรณี ถ้าพนักงานอยากจะลดก็จ่ายส่วนต่างเองละกัน ร้านต้องได้เงินเข้าเต็มจำนวนราคาปลีกที่รับสต็อกเข้าไปเสมอ ข้อนี้ต้องใจแข็งมากๆนะครับ ไม่งั้นคุณจะคุมอะไรไม่ได้เลย และก็อย่าไปใจดีให้พนักงานใช้คืนในราคาทุน
  3. ของเป็นชิ้น ให้สุ่มเช็ค 10% ของรายการสินค้าทุกเดือน และนับ 100% สักครี่งนึงของรายการสินค้า และ 2-3 เดือนก็ปิดร้านนับใหญ่ทีนึง print รายงานยอดคงเหลือออกมาพร้อมราคาปลีก ส่วนต่างกี่บาทก็ใช้เงินคืนมา จะหารเท่าหรือหารไม่เท่าก็ว่าไปแต่ต้องตกลงกันแต่แรกให้ชัด

    พยายามทำบ่อยแต่อย่างบอกให้พนักงานรู้ตัว ไม่งั้นไหวตัวทัน เมื่อนับเสร็จ รายการไหนไม่ครบ ปรับทันทีไม่มีการประนีประนอม ข้อนี้ก็ต้องใจแข็งเช่นกัน ไม่งั้นคุณจะเป็นหมูไปเรื่อยๆ นาทีนี้คนกลัวตกงานมากครับ เป็นโอกาสดีที่เจ้าของจะจัดระเบียบภายในร้านค้า

    การจับลูกค้าขโมยของในร้านก็เหมือนกัน จะแจ้งความ จะปรับ ยังไงก็ต้องทำ ห้ามใจอ่อน แม่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าเจอขโมยในร้านมากันเป็นแกงค์ สองคนล่อพนักงานไปทาง อีกคนกำลังปลดเสื้อออกจากไม้แขวนลงกระเป๋าแบบเพลินเลย แม่ผมถือกรรไกรใหญ่ ย่องเข้าไปปักกลางท้ายทองเลยนะครับ แบบมึงขยับอีกโดนเสียบแน่ สุดท้ายก็เข้าคุกไปทั้งแกงค์
  4. ถ้าเป็นพวกของกิน ร้านกาแฟ ไอติม ให้ใช้วิธีชั่งน้ำหนักของของที่เหลือ หักลบจากจำนวนที่เอาเข้าร้าน และกรุณาเอาเข้าร้านจำนวนน้อยๆแต่เข้าบ่อยๆหน่อย จะปิดโอกาสโกงได้เยอะ ร้านที่ชอบเอาของสดเข้าไปทีเป็นกิโลแล้ว 2 อาทิตย์เข้าไปดูทีนี่ ลาก่อนครับ คุณได้เปิดกองทุนขายไปแจกไปเรียบร้อยแล้ว

ฝากเรื่องสุดท้ายคือ
"พนักงานหน้าร้านไม่มีสิทธิ์รู้ราคาทุน" โดยเฉพาะรู้จากเราเอง ถ้าจะรู้จากการไปถามร้านข้างๆที่ขายของเหมือนกันก็ช่วยไม่ได้

การรู้ราคาทุนกับราคาขาย เป็นมูลเหตุแห่งการอยากโกงอย่างนึง และโดยเฉพาะว่าถ้าเราขายดีมากๆ ได้กำไรเยอะๆแต่ดันจ้างพนักงานราคากลางๆนี่ พนักงานจะหมั่นไส้และอยากโกงขึ้นเป็นทวีคุณด้วยข้อหาไม่ยอมให้เจ้าของรวยคนเดียว

ปัญหาการทุจริตนั้นจริงๆแล้วเป็นเรื่องของการบริหารความสุขของพนักงานมากกว่าการบริหารสินค้านะครับ เพราะสินค้านั้นไม่มีเท้า มันคงเดินออกไปจากร้านเราเองไม่ได้นอกจากมีคนหยิบไป ไม่พนักงานก็ลูกค้า

การที่เราทำให้พนักงานมีความสุข รักร้านเราเหมือนบ้านเค้าเองจะทำให้เค้ามีใจช่วยสอดส่องดูแลของในร้านได้ดียิ่งขึ้น เพราะเค้าจะรู้สึกว่าที่นี่คือบ้านของเค้าเอง เราย่อมไม่อยากให้ใครมาขโมยของออกไปจากบ้านเรา

ลองดูนะครับ

ที่มา https://www.facebook.com/trickofthetrade/posts/970192026347452?fref=nf&pnref=story

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

ทำไงให้งานจบตามกำหนด และไม่ต้องแก้บ่อย

รู้มั้ยทำไงให้งานจบตามกำหนด และไม่ต้องแก้บ่อย

  • - ยังไม่โดน
  • - ก็โอเคแต่ขอปรับอีกหน่อย
  • - แก้ตามคอมเม้น 
  • - เลือกแบบไปแล้วแก้จนจะจบแล้วขอเปลี่ยนแบบใหม่
  • - ส่งแบบไปแล้วสองอาทิตย์ไม่ตรวจพอดูปุ๊บจะขอเลยพรุ่งนี้

ใครเคยเจอซักข้อมั้ยครับ หรือเจอมาหมดแล้ว 555...มันเป็นเรื่องปกติรึเปล่า จริงๆแล้วแต่ละเรื่องมีสาเหตุและการแก้ไขไม่เหมือนกัน
จากเคสที่ผมเจอมาหลายปีบางเรื่องเกิดจาก การตกลงเงื่อนไขในการทำงานที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก เพราะคนที่รับงานมักคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เลยไม่ตั้งเงื่อนไขอะไรให้ลูกค้า เพราะกลัวว่าลูกค้าจะไม่ใช้บริการ แต่เอาเข้าจริงเจอลูกค้าละเอียดมาก หรือมีหุ้นส่วนหลายคนเปลี่ยนแบบแล้วเปลี่ยนอีกไปเรื่อย หรือประเภทที่บอกมาอย่างนึงแต่พอดูแบบถึงรู้ว่าไม่ชอบแบบที่บอกมา
เคสแบบนี้อันดับแรกเลยคือคุณพอใจกับการทำงานแบบไหนถ้าคิดว่าการแก้ไขได้ไม่จำกัดจนงานเสร็จจะดีที่สุดก็ต้องตั้งราคาไว้เผื่อให้มีการเปลี่ยนแบบและแก้ไขจนกว่าจะเสร็จด้วย เพราะค่าเวลาของคุณมีมูลค่า หรือถ้าคุณคิดว่าราคาสำคัญกว่าในการได้งานมาก็ตั้งเงื่อนไขการแก้งานให้ชัดเจน และแจ้งลูกค้าว่าเป็นการส่งแบบครั้งที่เท่าไหร่แก้ได้อีกกี่ครั้งและอย่าแหกกฎที่ตัวเองเป็นตั้งซะเอง เพราะจะไม่มีใครเคารพกฎคุณต่อไปอีก
แต่สิ่งที่จะช่วยได้มากเลยคือ การทำงานที่มีคุณภาพถ้าคุณเข้าใจโจทย์ ใส่ไอเดียและใส่ใจในรายละเอียดงานจนเกินความคาดหมายของลูกค้าการแก้ไขจะลดไปอย่างมาก
และหลายครั้งก็อย่าพลาดเพราะความไม่รอบคอบของคุณเองเพราะการแก้ไขแปลว่ามันต้องมีอะไรผิด ก่อนส่งงานทุกครั้งควรตรวจไม่ต่ำกว่า 2 รอบให้ 100% ว่าถูกต้องตามคอมเม้น
วิธีสุดท้ายสำหรับคนที่ทำงานแบบมืออาชีพจะไม่แก้ไขงานโดยไม่มีเหตุผล อย่าลืมว่าลูกค้าเราไม่ใช่ลูกค้าปลายทาง หมายถึงงานออกแบบของเราทำเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายของแบรนด์นั้นๆ เพราะฉะนั้นความรู้สึกส่วนตัวของลูกค้าไม่ใช่สิ่งที่เราจะนำมาแก้ไขงานได้ทันทีถ้ามันขัดกับ Insight ที่เราได้มาจากการสำรวจตลาด ควรอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจว่างานควรออกมาเป็นแบบไหนเพราะอะไร เพราะลูกค้าไม่เคยได้เหตุผลจากนักออกแบบคุณเลยต้องมานั่งบ่นว่าก้ทำไปดีแล้วแก้ทำไม หรือแก้อีกแล้วหรอ ก็ไม่แปลกเพราะคุณไม่เคยปกป้องคุณค่าของสิ่งที่คุณได้ทำไป
ผมเชื่อว่าทุกคนอยากให้งานออกมาดี แต่อย่าแค่อยากนะครับต้องมีสติและเต็มที่กับมันตั้งแต่เริ่มจนจบ เพราะแบรนด์จะสำเร็จได้คุณและลูกค้าต้องทำงานเป็นทีม
more idea : http://www.allideastudio.co.th/
IG : allideastudio
Google+ : All idea studio co. ltd

ลอกมาจาก https://www.facebook.com/allideastudio/photos/a.285944034811160.65940.254691131269784/832007773538114/?type=1

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

ลักษณะผู้นำที่จะสร้างลูกน้องให้เกิดพลัง

ลักษณะผู้นำที่จะสร้างลูกน้องให้เกิดพลัง
1. สื่อเป้าหมายอย่างชัดเจน ต้องการให้ทำอะไรเพื่อให้ประสบผลสำเร็จอย่างไร
2. ดึงศักยภาพของลูกน้อง หัวหน้าต้องรู้ว่าลูกน้องแต่ละคนชำนาญด้านไหน วิเคราะห์ลูกน้องเพื่อดึงพลัง
3. ทำอะไรคิดถึงผลกระทบก่อน เช่นจะเปลี่ยนแผนกลูกน้องต้องอธิบายสิ่งที่เขาจะได้รับ ไม่ทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าทำผิดจึงถูกปรับเปลี่ยนงานเป็นต้น
4. เข้ากันให้ได้ หัวหน้าต้องโน้มตัวเข้าหา จับมือไว้ แล้วไปด้วยกันเสมอ ทำอะไรให้ทำไปด้วยกัน
5. ให้กำลังใจลูกน้อง ให้รางวัลลูกน้อง ชื่นชม ยกย่องอย่างเสมอภาค
6.หัวหน้าต้องมีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อจะได้คิดช่วยเหลือลูกน้องเมื่องานไม่ประสบผลสำเร็จตามที่กำหนดไว้ เปรียบเสมือนบินอยู่ที่สูงมองเห็นปัญหาที่งานไม่สำเร็จ และลงมาร่วมปฏิบัติเพื่อให้สำเร็จ ต้องลงมาคลุกกับงานด้วยถ้ามีความจำเป็นเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย ต้องทำให้เห็น
7.ให้มาก ๆ ฟังมาก ๆ พูดดี คิดดี และทำดี อย่าลืมว่า คนอื่น ๆ แม้จะไม่สามารถจดจำคำพูด หรือการกระทำที่เราทำหรือพูดกับเขาได้ แต่เขาจดจำความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากคำพูดและการกระทำของหัวหน้าได้
8. หัวหน้าต้องจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการสื่อสารที่รวดเร็ว แก้ไขปัญหาเร็ว
9. ส่งลูกน้องไปอบรมเป็นกลุ่ม หลีกเลี่ยงการส่งไปเพียงคนเดียวเพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด
10. ควรมีวิธีจัดการกับลูกน้องที่มีนิสัยส่วนตัวเป็นอุปสรรคในการทำงาน เช่นโทรศัพท์ส่วนตัวในเวลางานมาก หัวหน้าไม่ควรต่อว่านิสัยส่วนตัวเป็นลำดับแรก ควรอธิบายและแจ้งวัตถุประสงค์ในการทำงานซึ่งหากลดอุปสรรคจะทำให้มีผลงานดี ขึ้นเป็นต้น
11. หัวหน้าต้องควบคุมงาน แต่การควบคุมต้องอย่าให้ลูกน้องรู้สึกถูกบีบบังคับ

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

ความสำเร็จในอดีตนำมาใช้ในปัจจุบันได้หรือไม่

"มีประโยค ที่ฟังแล้วเข้าท่า "ความสำเร็จเมื่อในอดีตไม่อาจนำมาใช้ได้ในปัจจุบัน" อาจเป็นเพราะรูปแบบวิธีการไม่เหมาะกับบริบทของสังคม เคยถามมหาเศรษฐีจีนที่ปักกิ่งท่านหนึ่งว่า คนจีนที่ทำการค้าร่ำรวยนี่ ใช้หมากกลมาจากสามก๊กบ้างไหม เสี่ยจึงตอบผมว่า
"นั่นมันงิ้วท่าน จะไปเอาอะไรกับนิยายมัน"
โอว... น่าคิดมากๆ" ราช รามัญ นักเขียน

"แม่นหลายบริบทสังคมเปลี่ยน
วิธีการก็ต้องเปลี่ยนใครให้ไปยึดติดวิธีเดิมๆล่ะครับ
แต่อย่าลืมนะครับว่ามันเปลี่ยนแค่วิธี
แก่นของมันก็เหมือนเดิม
เมื่อก่อนรบกันเพื่อชิงทรัพยากร
เดี๋ยวนี้จะไปทำแบบก่อนไม่ได้
ก็ต้องใช้สมองมากขึ้น
แต่วัตถุประสงค์เดิม

คนสมัยก่อนอยากได้เงินทอง อำนาจ นารี
คนสมัยนี้ก็อยากได้ไม่ต่างกัน
มันต่างก็แต่วิธีการ

สิ่งสำคัญมันจึงอยู่ที่แก่น
เมื่อเข้าใจแก่นจึงปรับวิธีการ
แต่ไม่รู้ราก ไม่รู้แก่น ย่อมยากจะทำการสำเร็จ"
เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป

ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10153201233759208&set=a.10150792568299208.438200.846089207&type=1

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เทคนิคเลือกสือลงประชาสัมพันธ์

ทุกวันนี้ในการทำธุรกิจของผมนอกจากต้องพัฒนาตัวเองให้ปรับตัวทันกับกระแสของการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปแล้วสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ผมต้องทำคือการให้ความรู้กับลูกค้าเพื่อลบล้างความเชื่อเก่าๆ ในการใช้สื่อเพราะมันใช้ไม่ได้ได้แล้วกับผู้บริโภคสมัยนี้

มันมีความเชื่อผิดๆ อยู่หลายอย่างแม้กระทั่งนักการตลาดเก่งๆ เจ๋งๆบางครั้งก็ยังตกหลุมพรางความเชื่อนี้หลายครั้งเวลาผมไปเสนองานลูกค้ามักจะถามว่า คุณทำให้เป็นข่าวลงไทยรัฐได้ไหมเพราะเค้าเชื่อว่า ไทยรัฐเข้าถึงคนได้มากที่สุดการได้ลงข่าวในไทยรัฐ ถือว่าสุดยอดแล้วถูกครับ ไทยรัฐยอดขายสูงสุด เข้าถึงคนมากสุดหากคุณจะลงโฆษณา ไทยรัฐคือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับแมสโปรดักส์ ที่จะเข้าถึงคนทั่วประเทศเรียกว่า นสพ.รายวัน ยังไงโฆษณายังต้องไทยรัฐ

แต่สำหรับการประชาสัมพันธ์ การเป็นข่าวในหน้าเศรษฐกิจไทยรัฐมันไม่ได้ทรงพลัง เข้าถึงผู้อ่านข่าวมีผลต่อผู้บริโภคมากและเหมือนโฆษณานะครับลองคิดตามดีๆ นะครับคนกลุ่มไหนที่ซื้อไทยรัฐอ่านและคนอ่านไทยรัฐ อ่านข่าวอะไรอันดับแรก หน้าหนึ่ง อาชญากรรม การเมืองลองลงมา กีฬา และตามมาด้วยบันเทิงคนอ่านไทยรัฐกว่า 70-80% อ่านเนื้อหาข่าวเหล่านี้เป็นหลักครับข่าวเศรษฐกิจในไทยรัฐคืออันดับท้ายๆ ของเซ็คชั่นทั้งหมดในไทยรัฐที่คนอ่าน

คุณลงโฆษณาในไทยรัฐเซ็คชั่นกีฬา บันเทิงหรือหน้าหลักอื่นๆ คนอ่าน คนเห็นเป็นล้านแต่เป็นข่าวในหน้าเศรษฐกิจ คนอ่านหลักหมื่นเพราะเป็นเซ็คชั่นที่คนอ่านน้อยมากไม่ใช่หน้าเศรษฐกิจไทยรัฐข่าวไม่ดีนะครับแต่เพราะกลุ่มคนอ่านไทยรัฐที่เป็นคนส่วนใหญ่เค้าไม่อ่านข่าวเศรษฐกิจกันครับ

ที่นี้เข้าใจหรือยังครับ ว่าทำไมผมถึงบอกว่าความเชื่อที่ว่า ...การมีข่าวธุรกิจในหน้าเศรษฐกิจไทยรัฐนั้นสุดยอดเป็นเรื่องของความเชื่อที่ผิดพอมองภาพออกแล้วใช่มั๊ยครับ

ยกตัวอย่างอีกเคสนึงง่ายๆการเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวันกับการเป็นข่าวในเว็บไซต์ manager.co.thโดยความเชื่อดั้งเดิมคือการได้มีข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับกระดาษถือว่าประสบความสำเร็จ
ส่วนการลงข่าวในเว็บไซต์นั้นเป็นผลพลอยได้แต่ความเป็นจริงคืออะไรรู้มั๊ยครับ ASTVผู้จัดการรายวัน ยอดผู้อ่านจริงๆ ในแต่ละวันน่าจะอยู่ราวๆ หลักหมื่นกลางๆด้วยความเป็น นสพ.ธุรกิจและการเมืองเลยมีกลุ่มค่อนข้างเฉพาะ และกระจุกตัววางขายเฉพาะในเมืองหลักๆแต่ในทางกลับกัน เว็บ manager.co.th
มีคนเข้าวันนึงเป็นหลายๆ แสนถือเป็นเว็บไซต์ข่าวที่คนดูมากที่สุดของประเทศการมีข่าวในเว็บไซต์จึงเข้าถึงคนอ่านได้มากกว่านสพ.หลายสิบเท่าแต่เชื่อมั๊ยครับ ทุกวันนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ยังถามทำไมมีข่าวแต่ในเว็บ ไม่เห็นมีลงใน นสพ.เลยในเว็บไม่ต้องก็ได้นะ เราไม่นับเป็นผลงาน

นี่แสดงถึงความเชื่อผิดๆที่เชื่อกันมาโดยไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเลยว่าทุกวันนี้ เค้าเสพสื่อไหน ยังไง ด้วยช่องทางใดเรียกว่าจำสืบทอดกันมาในตำราเค้าว่าไว้งี้ ฉันก็ว่ากันตามนี้เพราะฉันไม่เคยคิดต่อ และไม่เคยรู้เลยว่าตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปถึงไหนกันแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือหน้าที่ผมที่ผมจะต้องไปให้ความรู้กับลูกค้าผมแต่การเปลี่ยนความเชื่อคน ที่เค้าเชื่อต่อๆ กันมานี่มันเป็นงานยากมากๆ ครับยิ่งกับพวกที่เป็นมืออาชีพ ใช้งบ แต่ไม่ใช่เงินของตัวเอง ยิ่งเปลี่ยนยากเพราะเงินที่เสียไปทุกบาท มันไม่ใช่เงินเค้า
ใช้ได้ผลมากน้อย มันไม่กระทบอะไรกับเค้าแต่ถ้าใช้แล้วไม่มีเครื่องมือทางทฤษฎีมาอธิบายอันนี้มันกระทบพวกเค้าแน่ก็ใช่ซิครับ มันจะเอาอะไรมาอธิบายพฤติกรรมผู้บริโภคแบบนี้มันเพิ่งเกิดขึ้นใน 1-2 ปีนี่เองยิ่งในเมืองไทย ยิ่งเป็นเรื่องที่ใหม่เอามากๆทฤษฎีวิชาการอะไรมันก็ยังไม่มีอ้างอิงแน่ครับ
ต้องรออีกอย่างน้อย 5-10 ปีถึงจะมีคนเอาเรื่องแบบนี้ไปเขียนอธิบายเชิงวิชาการแต่เชื่อผมเถอะครับ
เมื่อถึงวันนั้นที่มีทฤษฎีเชิงวิชาการเหล่านี้มารองรับธุรกิจ ที่มีมืออาชีพเหล่านี้บริหารที่ปรับตัวไม่ทันกระแสของโลกแบบนี้ก็เจ๊งปิดตัวกันไปหมดแล้วครับเพราะปรับตัวไม่ทัน และหว่านเงินมหาศาล
แต่เข้าถึงผู้บริโภคน้อยถึงน้อยมากนี่คือเรื่องจริงนะครับ ไม่ใช่เล่นๆลองเอาไปคิดกันดูครับ...ว่าจริงหรือไม่จริง
(สงสารก็แต่เจ้าของธุรกิจ ที่จ้างนักการตลาดหัวโบราณเหล่านี้มาบริหารเท่านั้นแหล่ะครับ)

https://www.facebook.com/chatchaitalk/photos/a.325685784291492.1073741828.319663624893708/353527204840683/?type=1

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิธีเริ่มสนทนากับลูกค้าให้มีประสิทธิภาพ

“เริ่มสนทนากับลูกค้าอย่างไร”
หลายคนเข้าใจดีว่าลูกค้าเวลาน้อย แต่เข้าใจผิดว่าการกวนเวลาน้อยที่สุดคือรีบตั้งหน้าตั้งตาขายเลย
ข้อมูลหลักๆที่ไม่ควรใช้ตอนเปิดการสนทนากับลูกค้าคือ

  • 1) รีบเสนอสินค้าหรือบริการของคุณ
  • 2) รีบกล่าวอ้างลูกค้ารายอื่นที่เคยซื้อของคุณเหมือนกัน
  • 3) รีบถามลูกค้าว่าสนใจสินค้าหรือบริการที่กำลังจะเสนอบ้างหรือไม่

ลูกค้าจะรู้สึกว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาขายเกิน และผลลัพธ์จะมี 2 อย่าง

  • 1) ลูกค้าไม่สนใจที่คุณเสนอเลย หรือ...
  • 2) ลูกค้ามีความสนใจแต่จะพุ่งประเด็นไปที่ราคาอย่างเดียว ถ้าของคุณแพงก็หมดสิทธิ์

มี How To ง่ายๆสำหรับวันนี้ครับ ลองเอาประโยคนี้ไปใช้ดู
“วันนี้ผมมีบริการมาเสนอ มั่นใจว่าทำให้สะดวกสบายขึ้น แต่ก่อนอื่นผมรบกวนขอถามคำถามสั้นๆ เพื่อจะได้เลือกนำเสนอแต่ข้อมูลที่ตรงกับความสนใจนะครับ”
ประโยชน์ที่คุณจะได้คือ

  • 1) ลูกค้ารู้แล้วว่ากำลังจะโดนถามคำถามเล็กน้อย จึงรู้สึกเต็มใจกว่าที่จะตอบ
  • 2) ลูกค้ารู้สึกว่าคุณจะเลือกบอกแค่สิ่งที่เค้าอยากรู้ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันขายอย่างเดียว
  • 3) ลูกค้ารู้สึกว่าน่าจะใช้เวลาไม่นาน

ลองเปิดประเด็นลักษณะนี้ดู หลังจากนั้นตามด้วยคำถามดีๆที่คุณต้องฝึกเพื่อให้รู้ความต้องการแท้จริงของลูกค้า เท่านี้การขายของคุณก็มีโอกาสสูงขึ้นไม่มากก็น้อยครับ

https://www.facebook.com/Sales101Thailand/photos/a.903098266381755.1073741828.899449636746618/931112470247001/?type=1

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำไมลูกถึงถึงปฎิเสธ

“ลูกค้าปฏิเสธเพราะอะไร”
เวลาที่เราพยายามเสนอขายแต่ลูกค้าปฏิเสธโดยเฉพาะในช่วงแรกๆ สาเหตุมีดังนี้

  • 1) ลูกค้าไม่ใช่ตลาดของเรา เช่นขายเสื้อผ้าบูติคให้ชายหนุ่มผู้เกลียดการแต่งตัว
  • 2) ลูกค้าไม่พร้อมที่จะเปลี่ยน เช่นลูกค้าคนนั้นเริ่มสนใจการเปลี่ยนลุ๊คมากขึ้น แต่เสื้อผ้ายังดูเนี้ยบเกิน เร็วเกินที่ลูกค้าจะเปลี่ยน
  • 3) ลูกค้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเค้าต้องการสินค้าเราเช่นกำลังจะมีสัมภาษณ์งานใหม่ แต่ไม่ใส่ใจเรื่องแต่งกาย คิดว่าตอบคำถามดีอย่างเดียวก็พอ

How To อันดับแรกในการแก้ไขคือคุณต้องตอบให้ได้ก่อนว่าลูกค้าที่รีบปฏิเสธเราแต่หัววันเค้าสังกัดอยู่กลุ่มไหน
หลังจากนั้นลองใช้วิธีเหล่านี้กับแต่ละกลุ่มครับ

  • 1) กลุ่มนี้ไม่ใช่ขายไม่ได้นะครับ แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นเซลล์มือทองจริงๆหรือยอดขายที่ได้มาน่าจะไม่คุ้มค่าเหนื่อย คุณอย่าเสียเวลากับกลุ่มนี้มากเกินไป
  • 2) ใช้วิธีในการขายแต่น้อยครับ แค่ชิ้นหรือสองชิ้นเหมือนให้เค้าได้ทดลองก่อน อย่าไปยัดเยียดจำนวนเยอะๆ
  • 3) กลุ่มนี้อย่าไปใช้เวลาพูดถึงตัวสินค้าเยอะเกินเพราะเค้าจะยิ่งรำคาญคุณ แต่ใช้วิธีค่อยๆบอกเค้าอย่างหวังดีว่าถ้าเค้าไม่เปลี่ยนแปลง ผลเสียจะเกิดกับเค้าอย่างไร หลังจากนั้นจึงค่อยๆเริ่มเสนอสินค้า

ใครที่เคยใช้วิธีไหนแล้วได้ผลหรือไม่ได้ผลลองแชร์กันมาดูนะครับ

https://www.facebook.com/Sales101Thailand/photos/a.903098266381755.1073741828.899449636746618/931590706865844/?type=1

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิธีเลือกเทคโนโลยีองค์กรให้คุ้มค่า

“การลงทุนเรื่องเทคโนโลยีของผู้บริหาร”
ไม่ผิดนะครับที่ผู้บริหารจะลงทุนเรื่องเทคโนโลยีที่จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น
แต่การลงทุนซื้ออะไรใหม่ๆโดยที่ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นจะช่วยให้เราได้ผลลัพธ์อะไรมันคือการเชือดคอตัวเองดีๆนี่เอง
ตำราเมืองนอกบางที่เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “Frustration Multiplier” หรือ “การลงทุนที่ทำให้หงุดหงิดหนักกว่าเดิม”
How To ในการป้องกัน Frustration Multiplier มีคร่าวๆดังนี้ครับ

  • 1) Build a process – สร้างกระบวนการมารองรับก่อน
  • 2) Choose a technology – เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะกับกระบวนการนั้น
  • 3) Find people to manage – หาคนมาจัดการกับเทคโนโลยีนั้น
  • 4) Create exciting content – ต้องมีเรื่องราวน่าตื่นเต้นกับการลงทุนดังกล่าว

สำหรับฝ่ายขาย ตัวอย่างของเทคโนโลยีคือระบบ CRM หรือการจัดการฐานข้อมูล ซึ่งไม่เถียงเลยครับว่าควรลงทุน แต่ประเด็นคือคุณคาดหวังจะได้อะไรกลับมา
ถ้าตอบไม่ได้ขั้นตอนความหงุดหงิดใจจะเป็นเช่นนี้ครับ

  • 1) ทุกวันนี้ยังไม่มีกระบวนการขายใดๆ เซลล์อยากขายยังไงก็ตามนั้น
  • 2) ซื้อ CRM มาเพราะมีคนบอกว่าการเก็บข้อมูลฝ่ายขายบริษัทไหนก็ต้องมี
  • 3) ยังคิดไม่ออกเลยว่า ซื้อ CRM มาแล้วให้ใครบริหาร เจ้าของเล่นเอง หรือให้ Sales Manager เล่นดี
  • 4) ซื้อมาแล้วไม่มีใครในบริษัทตื่นเต้นด้วยซักคน มีแต่คนกลัวว่าจะมาทำให้เพิ่มงาน

ถ้าดูแล้วจะออกมาทรงประมาณนี้อย่าเผลอไปลงทุนซื้ออะไรเด็ดขาด ผมฟันธงเลยว่าไม่คุ้มแน่นอนครับ

ที่มาhttps://www.facebook.com/Sales101Thailand/photos/a.903098266381755.1073741828.899449636746618/932107130147535/?type=1

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำไมถึงปิดการขายได้ช้า

“ทำไมถึงปิดการขายได้ช้า”
พนักงานขายบางคนมี Sales Cycle หรือระยะการปิดการขายที่ยาวกว่าคนอื่นและมักจะไม่ประสบความสำเร็จ
ผมจะบอกหนึ่งในสาเหตุให้ครับ
“พนักงานขายคนนั้นๆมักจะไม่มีการวาง next step ที่ชัดเจนกับลูกค้า”
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพครับ
รายที่มักจะไม่ประสบความสำเร็จจะจบการสนทนากับลูกค้าโดยพูดว่า “ขอบคุณที่สละเวลา เดี๋ยวผมจะโทรมาหาสัปดาห์หน้านะครับ”
ส่วนรายที่ประสบความสำเร็จมักจะพูดในทำนองนี้ครับ
“วันนี้ผมเอาสินค้ามาให้ลองใช้สองรุ่น next step คือผมจะทำราคาพิเศษเข้ามาเสนอหลังจากทราบแล้วว่าลูกค้าเลือกรุ่นไหนนะครับ”
เห็นชัดเจนว่ารายที่ประสบความสำเร็จจะมี next step ว่าขั้นตอนต่อไปจะให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในกระบวนการขายอย่างไร
ดังนั้นลองถามตัวเองง่ายๆก่อนแยกกับลูกค้าว่า......คุณได้ตกลง next step กับลูกค้าหรือยัง
วิธีนี้ทำให้ Sales Cycle ของคุณสั้นลงได้ไม่มากก็น้อยครับ

ที่มา https://www.facebook.com/Sales101Thailand/photos/a.903098266381755.1073741828.899449636746618/932604960097752/?type=1

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

“การสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานขาย”

มีตำราหลายร้อยเล่มเขียนไว้เกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานขาย
เช่นต้องคิดบวก ภูมิใจในอาชีพ เศรษฐีทุกคนเคยเป็นเซลล์ทั้งนั้น ฯลฯ ซึ่งถูกหมดทุกข้อ
แต่บทความวิจัยของ Accenture เรื่องการขายและจากประสบการณ์ตรงของผมเอง หนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจที่ดีที่สุดให้กับพนักงานขายคือ
“การค้นหาให้เจอว่าอุปสรรคสำคัญต่อการทำงานของพวกเค้าคืออะไร และมุ่งมั่นแก้จุดนั้นให้เร็วที่สุด”
ยกตัวอย่างครับ เคยมีพนักงานขายของผมที่ขาดความกระตือรือร้นไปพักใหญ่
สืบความได้ว่าเค้าปวดหัวมากกับแผนกบริการที่ไม่สามารถทำตามที่บริษัทตั้งมาตรฐานไว้ได้ ทำให้เค้าต้องตามรับโทรศัพท์ที่ลูกค้าโทรมาต่อว่าและใช้เวลาส่วนใหญ่แก้ปัญหาแทนที่จะออกไปพบลูกค้า
หลังจากที่หัวหน้าฝ่ายบริการทราบเรื่อง จึงได้เข้าประชุมกับทีมขายและรับปากว่า “ผมจะลงไปแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองให้เสร็จสิ้นภายใน 1 สัปดาห์”
หลังจากนั้นปัญหาหายเกลี้ยง พนักงานมีความกระตือรือล้นเป็นอย่างมาก และแน่นอน ยอดขายพุ่งกระฉูด
หาให้เจอนะครับว่าตรงไหนเป็นคอขวดของแผนกขายคุณ แก้มันซะ และทำให้ชีวิตประจำวันเค้าง่ายขึ้น
การแก้ปัญหาในเชิงธุรกิจทุกเรื่องต้องจับต้องและวัดผลได้ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการสร้างแรงบันดาลใจนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

วิธีลงบัญชี เงินลงทุนชั่วคราว(หุ้น)

คลิปของ อ.มานพ สีเหลือง เรื่องการบันทึกบัญชีเมื่อบริษัทมีการซื้อขายหุ้นครับมันเยี่ยมจริง