วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คิดบวกบ่อยๆทำให้ธุรกิจรุ่งเรื่องได้อย่างไร

จากเท่าที่สังเกตนะครับ... คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ "มักจะเป็นคนมองโลกในแง่บวก มากกว่ามองโลกในแง่ลบ" เพราะระบบคิดต่างกัน ถ้าสมมุติเราทำงานชิ้นหนึ่งอยู่แล้วเกิดเจอปัญหา
คนมองโลกในแง่บวกอาจจะคิดว่า
  • "ไม่เป็นไร เราค่อยๆทำ ค่อยๆแก้ ปัญหามีไว้ให้ฟันฝ่า เดียวมันก็จะผ่านไป"
ในขณะที่คนคิดลบ จะคิดว่า...
  • "งานยากๆแบบนี้ใครจะไปทำได้วะ! หัวหน้าโครตลำเอียงเลย งานง่ายๆให้คนอื่นทำ ให้เราทำแต่งานยากๆ"
ยกตัวอย่างร้านขายไก่ย่าง 2 ร้าน ซื้อเฟรนไชส์มาเหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ติดกันนะ ด้วยความที่เป็นแบรนด์แล้วก็ราคาไม่แพง ..
  • ร้านแรกมักจะเปิดบ้าง ไม่เปิดบ้างและเป็นคนชอบบ่น กำไรน้อย เจ้าของเฟรนชายเอาเปรียบ ทำอย่างอื่นดีกว่าหนู ธุรกิจนี้ไม่ดีหรอกมีแต่เหนื่อยกับเหนื่อย ทำให้เจ้าของมันรวย แต่เรายิ่งทำจิ่งจน
  • ในขณะที่อีกร้าน เปิดทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ มีปิดบ้างในช่วงเทศกาล เป็นคนไม่ชอบบ่น ยิ้มแย้มแจ่มใส มนุษยสัมพันธ์ดี ... ผู้ดูแลเพจภาคกลางคืนเคยถามว่า เป็นไงบ้างครับ ขายดีไหม? เขาก็ยิ้มแล้วตอบว่า "ก็เรื่อยๆอะคะ ถ้าขยันสักหน่อยก็อยู่ได้"
ผ่านมาแล้ว 6 เดือน เห็นผล! ปรากฏว่าร้านที่ขี้บ่นเลิกทำซะอย่างนั้น ในขณะที่อีกร้านหนึ่งก็ยังคงเปิดต่อไป ... เหตุการณ์นี้ชี้อะไรได้หลายๆอย่างนะ ทำธุรกิจตัวเดียวกัน แต่ความขยันต่างกัน มุมมองต่อสิ่งที่ตัวเองทำต่างกัน ธุรกิจก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ ...

เรื่องการคิดลบแล้วทำให้ธุรกิจเจ้งนี้มีนักวิทยาศาสตร์เขา อยากรู้ว่าทำไมบางคนล้มเหลวอยู่เรื่อย จนอยู่เรื่อย ฯลฯ เลยไปศึกษาการทำงานของสมองเขาพบว่าเมื่อเราคิดลบ แขนงเซลลบก็จะเชื่อมโยงกันแน่นขึ้น สมองก็จะคิดแต่เรื่องลบ มันก็จะดึงเรื่องลบเข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ ในทางกลับกันถ้าคิดบวกเชลบวกก็จะเชื่อมโยงแน่นขึ้น ทำบอยๆ สมองก็จะคิดแต่เรื่องบวก ความคิดบวกก็จะดึงสิ่งที่มันบวกๆเข้ามา ชีวิตก็ดีขึ้น



สู้่ต่อไปนักธุรกิจทั้ง

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทำธุรกิจไม่ให้ทุกข์

เป็นนักลงทุนก็หาช่องลงทุนไปเรื่อย ธุรกิจใหม่ฟาร์มเห็ดเล็กๆ สร้างงานสร้างอาชีพกระจายรายได้สู่ชุมชน(ถ้าโชคดีก็เหลือกลับมา) กว่าเห็ดจะออกดอกมาขายได้อย่างเห็นนี้ น้ำไม่ถึงบ้าง ความชื้นไม่พอบ้าง แสงเยอะไปบ้างกว่าจะออกตามภาพก็เหนื่อยละ ทำให้นึกถึงที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว่าว่า

"ชาวนาไม่สามารถทำให้ข้าวออกรวงได้ ข้าวมันออกรวงของมันเอง สิ่งที่ชาวนาทำได้คือไถนา ไถอยู่ที่ดินไม่ได้ไปไถต้นข้าว หว่านเมล็ดข้าวลงไปในนา แล้วก็เอาน้ำเข้านา ช่วงไหนน้ำน้อยก็เติมน้ำ ช่วงไหนน้ำมากก็ไขน้ำออก ถึงเวลาแล้วข้าวก็ออกรวง ข้าวออกเมล็ด ข้าวก็ออกของมันเอง ชาวนาไม่ได้ออกเมล็ดข้าวมา"

สรุปก็คือทำธุรกิจไม่ให้ทุกข์ต้องวางใจให้ถูกเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจว่าจะไปบังคับให้มันมีกำไรตามใจคิดไม่ได้ หนี้ที่เราก็ทำได้แค่ทำเหตให้มันมีกำไรเมื่อเหตุเหมาะสมมันก็มีกำไรของมันเอง นักธุรกิจมือใหม่หลายท่านเวลาเริ่มลงทุนจุดเริ่มต้นก็เริ่มลงทุนด้วยความโลภอย่ากได้เงินเยอะๆ แต่เวลาหน้างานจริงปัญหาจะเยอะกว่าที่คิดครับไม่รู้มาจากไหน ถ้าวางใจไม่ถูกต้องจะปวดกระบาลมากๆ สู้ๆครับนักลงทุนทุกท่าน

รอระเบิด

เริ่มแทงยอด

ผลผลิต

ออกดดอกแย้ว




วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คุณคือลูกจ้าง หรือสินทรัพย์ของบริษัท

เราคือลูกจ้างบริษัท หรือสินทรัพย์ของบริษัท

ถ้าเราเป็นลูกจ้างบริษัทนั่นคือ ถ้าวันนี้เราต้องเดินออกจากบริษัทไป เขาก็สามารถหาคนใหม่มาทำงานแทนเราได้

แต่ถ้าเราเป็นสินทรัพย์ของบริษัท ถ้าเราต้องเดินออกจากบริษัทไป บริษัทจะขาดรายได้ทันที และอาจต้องใช้เวลานานหรือใช้ต้นทุนที่สูงมากในการหาคนใหม่มาแทนที่เรา

คนที่เป็นสินทรัพย์ของบริษัท คือผู้ที่มีอำนาจต่อรอง อ่านนิทานเรื่องนี้จะเข้าใจ

ณ โรงงานผลิตสุราแห่งหนึ่ง พนักงานชิมได้ตายลง
เสี่ยเจ้าของโรงงานจึงเปิดรับสมัครคนใหม่

ชายขี้เมาจรจัดเนื้อตัวสกปรกคนหนึ่งได้มาสมัครตำแหน่งนี้
"เสี่ยไม่อยากรับสมัคร คิดหาวิธีกำจัดไปให้พ้น"
แต่ก็ได้ให้เขาลองทดสอบดูก่อน
ชายจรจัดชิมแก้วแรก “นี่เป็นไวน์แดง องุ่นมู้สแค็ต 3ปี
จากเนินทางเหนือ เก็บบ่มในถังเหล็ก”
เสี่ย “ถูกต้อง”
ชายจรจัดรับแก้วที่สองมาชิม “ไวน์แดง คาเบอร์เน่ต์ 8ปี
จากเนินตะวันตกเฉียงใต้ เก็บบ่มในถังไม้โอ๊ค”
“ถูกต้อง” คราวนี้เสี่ยขยิบตาให้เลขาสาว

เลขาสาวถือแก้วที่ใส่ฉี่มา ส่งให้ชายจรจัดมาชิม...
ชายจรจัดตอบ
“สาวผมบลอนด์คนนี้ อายุ 26 ปี กำลังตั้งท้องเดือนที่3
ถึงตอนนี้แล้วถ้ามึงไม่ให้กูทำงานนี้ กูจะแฉว่าใครเป็นพ่อเด็กในท้อง”.