วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แนวทางการเริ่มต้นธุรกิจ


บทความของคุณ ภาววิทย์ แห่งหุ้นพรุ่งนี้ เขียนแนวทางการเริ่มต้นธุรกิจได้ดีมากครับเขาว่า

หนึ่งในบทเรียนการสร้างธุรกิจ Red Ocean.. หลายคน ธุรกิจนึกว่าจะเป็น Blue or Red Ocean ขึ้นกับธุรกิจ ..จริงๆ ไม่ใช่นะ ...มันขึ้นกับ Approach ของเจ้าของธุรกิจว่า เข้าสู่สมรภูมิในมุมไหนมากกว่า ..."จริงๆ" ผมว่า มุมที่ดีที่สุด ควรเป็นมุมที่ "ตัวเรา" ถนัดที่สุดต่างหากล่ะ ...ผมว่า "ที่ยืน" มันมีเสมอกับคนที่มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ตัวเองรักและทำได้ดี ..แม้คุณจะไม่ได้เป็นคนที่เก่งที่สุด แต่คนที่มี Passion ในสิ่งที่ตัวเองทำ และ งานของตัวเอง -- ย่อมทำได้ดี .."ดีพอ" -- แล้วค่อยๆ โตจากตรงนั้น ผมว่า นั่นแหละคือ จุดเริ่มต้นที่ดีของการทำงาน ทำธุรกิจ 

จากนั้นก็ลิงค์ไปบทความ Low cost Airline กับผู้ก่อตั้ง JETBLUE [1] เขาก็สู้ชีวิตกับธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำมาเรื่อยๆ จนสำเร็จ


ปัจจุบัน Neeleman อายุ 51 ปี ก็ได้ร่วมกับนักลงทุนก่อตั้ง Azul Airline ในประเทศ Brazil "และนี่แหละที่ผมบอกว่า คนที่ประสบความสำเร็จ มันไม่ได้ มาง่ายๆ อย่างที่หลายๆคนคิด" ...การทำธุรกิจมันเป็น Process ระยะยาว และสิ่งที่สำคัญที่สุดมันคือ "ประสบการณ์" ที่ไม่มีใครสามารถจะเอาไปจากคุณได้

ด้วย"ประสบการณ์"ที่มากพอ --- มันจะเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ !! (นี่คือชีวิตจริง)




ที่มา
[1]http://www.pawawit.com/2010/09/low-cost-airline-jetblue.html

4 ขั้นตอนสั่งงานลูกน้องให้ได้งาน

เกิดขึ้นบ่อยมั๊ย? กับปัญหานี้ "ทำไมสั่งแล้วลูกน้องไม่ทำ?"
ในวงการ Corporate Sales มีคำ classic อยู่คำนึง
“ People don’t do what you expect. They only do what you inspect.” แปลได้ว่า “ลูกน้องคุณเค้าไม่ทำสิ่งที่คุณหวังให้เค้าทำหรอก เค้าจะทำเฉพาะสิ่งที่คุณตรวจสอบจริง”
ตัวอย่าง classic ที่ผมเจอมาตลอดตอนประชุมกับ Sales Manager
แล้วถามพวกเค้าไปว่าทำไมเซลล์ไม่ทำในสิ่งที่บริษัทให้นโยบายไป
คำตอบส่วนมากคือ “ผมสั่งไปแล้วครับ แต่เซลล์คนนี้ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ยอมทำ”
ในกรณีนี้คุณว่าใครผิดครับ เซลล์หรือ Sales Manager?
คำตอบที่ผมการันตีเลย……คนผิดคือ Sales Manager เต็มๆ
เดาก็รู้เลยครับว่าสาเหตุที่เซลล์ไม่ยอมทำตามที่สั่งมีไม่กี่อย่าง

  1. Sales Manager สั่งไม่ชัดเจน
  2. คำสั่งเป็นปากเปล่า ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
  3. บอกอย่างเดียวว่าให้ทำอะไร แต่ไม่บอกว่าทำอย่างไร
  4. บอกไปแล้ว แต่ไม่มีระบบตรวจสอบว่าทำจริงหรือไม่

ถ้าคุณไม่ follow How To 4 ข้อดังกล่าวที่ว่ามา
ผมพอจะเดาออกเลยครับว่า หลังจากที่คุณสั่งงานไปแล้ว
ลูกน้องคุณส่วนใหญ่จะบอกว่า “ได้ครับ ได้ค่ะ”
แต่ผลลัพธ์จริง มันจะช่างต่างจากที่คุณคาดหวังแบบลิบลับ
ผมยกตัวอย่างที่ถูกต้องให้ดูนะครับ
เช่นโจทย์คือต้องการเน้นขายสินค้า A เพิ่มมากขึ้น
โจทย์นี้ถือว่ากำกวมและไม่ควรใช้เป็นคำสั่ง
อยากพบ How to แก้ปัญหาเหล่านี้ติดตามกันต่อได้กับ Sales101
ในวันพรุ่งนี้ ห้ามพลาด!
.
.
.
.
.
กลับมาติดตามกันต่อกับ How to เริ่ม Follow กันเลยที่...

  1. สั่งลงไปว่าเซลล์แต่ละคนต้องขายสินค้า A ให้ได้ไม่ต่ำกว่าคนละ 10 ออเดอร์ในแต่ละเดือน เริ่มเดือนหน้า (คำสั่งเริ่มเฉพาะเจาะจงและมีการวัดผลรวมถึงช่วงเวลากำกับ)
  2. อธิบายตอนประชุมทีมเสร็จแล้ว ลงเป็นลายลักษณ์อักษรในอีเมล์ด้วย
  3. ให้วิธีในการทำอย่างชัดเจน เช่นทุกคนต้องโทรไปหาลูกค้า Top 50 ที่เคยซื้อขายกับเราอยู่ และเสนอราคาตัวนี้ภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นโทรตามต่อในอีกสัปดาห์ถัดไปเพื่อติดตามผล อย่างนี้เป็นต้น
  4. ต้องมีเครื่องมือในการตรวจสอบได้ว่าเสนอจริงหรือไม่ เช่นหลักฐานใบเสนอราคาที่ทำส่ง

ลองใช้ How To นี้เพื่อการคุมที่มีประสิทธิภาพนะครับ อย่าลืมว่า “People don’t do what you expect. They only do what you inspect.”

ที่มา
[1]https://www.facebook.com/899449636746618/photos/a.903098266381755.1073741828.899449636746618/907287725962809/?type=1
[2]https://www.facebook.com/899449636746618/photos/a.903098266381755.1073741828.899449636746618/907287942629454/?type=1

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีการทำให้เวลาแชร์บทความในเฟสแล้วขึ้นรูปใหญ่ๆ


เขียนบทความเดี๋ยวนี้ต้องให้ google ชอบคนจะค้นหาเจอเยอะ facebook ชอบคนจะแชร์เยอะ เทคนิคอยู่ที่สัดส่วนภาครับ จะโพสรูปต้อง  600 x 315 px หรือคิดเป็นสัดส่วน 1.91 ต่อ 1  แล้วจะพอดีเยี่ยมจริง

ที่มา http://louisem.com/3838/facebook-link-thumbnail-image-sizes

ถ้า facebook มันไม่ฉลาดไม่ยอมเลือกรูปที่ต้องการมาเป็น thumbnail เวลาแชร์ ก็เพิ่ม Facebook Open Graph META Tags บน teg head ของหน้าที่ต้องการว่่า
<meta property="og:image" content="urlรูปของท่าน"/>

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีเพิ่มรายได้ 2 วิธี

สิบกว่าปีก่อน เซลล์รุ่นพี่สอนงานผม...ว่า การจะเพิ่มรายได้ให้บริษัท มันมีแค่ 2 วิธีบนโลก

  1. ขายสินค้าเก่า ให้ลูกค้าใหม่
  2. ขายสินค้าใหม่ ให้ลูกค้าเก่า

"เฮ้ยโป้ง...เมิงว่า ข้อไหนทำง่ายกว่า?"

ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าตอบไปว่าอะไร แต่จำเฉลยได้ว่า "ตอบข้อ 2"

เพราะต้นทุนการหาลูกใหม่ มันแพง ... แพงกว่าการทำสินค้าใหม่ ไปขายลูกค้าเก่า ตัวอย่างล่าสุดที่ผมเห็นคาตาคือ ร้านกาแฟ Starbucks

Starbucks ไม่ได้ขายแต่กาแฟ เครื่องดืม และเบเกอรี่ อย่างเดียว

***แต่ขายอาหารด้วย***

"สลัดไก่ ตาบั๊ค" Chicken Salad with Sesame Dressing สลัดไก่ย่าง น้ำสลัดงาญี่ปุ่น หน้าตาดูดีมาก
อร่อย สด สะดวก ... และแพง (ที่จริง มันแพงทุกอย่าง แต่ของเขาดีนะ)

มอง Starbucks แล้วก็นึกย้อนถึงสารพัดอาหารอิ่มสะดวกของ เซเว่น อีเลฟเว่น
พยายามแบบนี้ไปเรื่อยๆ รายได้ก็เพิ่มไปเรื่อยๆกิจการแสนล้านระดับนี้เค้ายัง "ขยันไม่หยุด"
เราเองก็ต้อง "ไม่หยุดขยัน" นะครับนะ

ที่มา https://www.facebook.com/422259541199493/photos/a.422586424500138.1073741829.422259541199493/741447495947361/

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อยากเริ่มธุรกิจ SME ต้องรู้อะไรบ้าง

เดี๋ยวนี้กระแสเบื่องานประจำอยากลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว(SMEs) กำลังมาแรงโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบเป็นลูกน้องใครอยากเป็นเจ้านายตัวเอง ข่าวร้ายคือธุรกิจเปิดใหม่ 90% มักจะเจ้งตั้งแต่ปีแรก เหลือรอดถึงห้าปีมีเพียง 1% เท่านั้น แสดงว่าถ้าคุณคิดจะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ คู่แข่งคุณคือ กลุ่ม เสือ สิงค์ กระทิง แรด 1% ที่สามารถรอดมาในสนามรบการค้าได้ การที่คุณเข้าไปในสนามการค้าคุณจะเป็น”ผู้ล่า” หรือ “ผู้ถูกล่า” การวางแผนและเตรียมความพร้อมธุรกิจตั้งแต่ก่อนลงสนามเป็นเรื่องสำคัญ


1. สินค้าหรือบริการของเราแก้ไขปัญหาอะไรของลูกค้า

คนส่วนใหญ่ถ้าคิดจะเริ่มธุรกิจคำถามแรกคือจะขายอะไรดี ส่วนใหญ่คำตอบที่ได้ก็จะคล้ายๆ มองไปรอบๆตัวคนก็กันหมดแล้ว จากนั้นก็ไม่ทำดีกว่า แต่ถ้าเราไปมองในมุมมององลูกค้าจะเห็นว่า การซื้อสินค้าหรือบริการของคนเราเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้นหมุนเวียนเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยทั้งวันคนเราจะทำอยู่สองอย่างคือ “วิ่งไล่หาความสุข” และ “วิ่งหนีความทุกข์”  สินค้าและบริการทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของลูกค้านี่เอง ดังนั้นการคิดว่าจะขายอะไรดีจึงเริ่มจากคำถามง่ายๆ ว่า

  1. สินค้าเราแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้า
  2. มีตลาดที่ใหญ่เพียงพอให้เป็นธุรกิจได้หรือไม่

ถ้าสินค้าเราแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ และมีตลาดรองรับที่มากพอ ก็สามารถทำเป็นธุรกิจได้ไม่ยาก เงินทองก็จะไหลมาเทมา คู่แข่งก็มาแข่งลำบาก

  • หิว  ->  ร้านอาหาร
  • หิว แต่ไม่มีเวลา  ->  fast food, ข้าวกล่อง 7-11
  • ร้อน -> พัดลม แอร์ น้ำแข็ง เครื่องดื่มเย็นๆ
  • ง่วง แต่ไม่อยากนอน -> กาแฟกระป๋อง
  • น้ำมันแพง  -> ECO car, อุปกรณ์ประหยังพลังงาน
  • บริษัทไม่มีพนักงาน  -> ธุรกิจรับจัดหาแรงงาน

2. ธุรกิจเรามีจุดขายอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้าน

รู้ว่าจะขายอะไรแต่ถ้าไม่มีจุดขายชัดเจนรอดยากฟังธง หลักคิดคือเราต้องตอบให้ได้ว่าสินค้าหรือบริการของเรามีจุดขายอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้านและลูกค้าต้องการ ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า USP (Unique Selling Proposition ) คือคำสัญญาที่เราให้กับลูกค้าว่า มาซื้อสินค้าและบริการจากเราแล้วจะได้อะไรตัวอย่างจุดขายเช่น

  • ทุกอย่าง 20 บาท
  • ส่งถึงบ้านใน 30 นาที
  • หลับสบายแม้วันมามาก
  • ทะเลกรุงเทพ
  • สวยด้วยแพทย์
  • ลบริ้วรอยใน 7 วัน

  ส่วนใหญ่ของ USP จะประสบความสำเร็จและธุรกิจอยู่รอดได้ คือ 

  • ต้องเป็นสัญญาที่สามารถปฏิบัติได้ และระบุเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งแล้ว น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน? 
  • สร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทมากน้อยแค่ไหน?  
  • ความยุ่งยากในการปฏิบัติเป็นอย่างไร? 
  • ปริมาณกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสัญญานี้เทียบกับสัดส่วนของลูกค้าทั้งหมดในกลุ่มเป็นอย่างไร?

3. สภาพการแข่งขันเป็นอย่างไร

แม่ทัพที่ดีจะไม่รบในสนามรบที่ตัวเองไม่ชนะ การดูทิศทางลมก่อนออกรบเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องรู้ว่า อุตสาหกรรมที่เรากำลังเข้าไปฟาดฟัน อยู่ช่วงไหนของการเติบโต โดยปกติจะมี 5 ขั้นคือ ช่วงเริ่มต้น ช่วงเติบโต ช่วงอิ่มตัว ช่วงถดถอย และช่วงตกต่ำดังภาพ


โดยในแต่ละช่วงของการเติบโต ปัจจัยที่กระทบกับการแข่งขันทั้ง 5 หรือ five force model มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง five force model และช่วงการเติบโต
ที่มา : สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล, "แกะงบการเงินสไตล์ VI", สํานักพิมพ์ think good, 2557
จะเห็นว่าถ้าเราพาธุรกิจเราเข้าไปรบในช่วงที่ตลาดเริ่มอิ่มตัวโอกาสทำกำไรเราก็ยากมากก ยกตัวอย่างหลายคนอยากเป็นร้านกาแฟ แต่มองไปรอบๆมีร้านคู่แข่งเต็มไปหมด ลูกค้าจะไปกินร้านไหนก็ได้ ราคาก็พอๆกันแพงไปคนก็ไม่ซื้อ คู่แข่งหน้าใหม่ๆก็เข้ามาเรื่อยๆ มองแล้วเหนื่อย

4. จะทำการขายและการตลาดอย่างไร

ในปัจจุบันสภาพการแข่งขันที่สูง การขายสินค้าเราต้องแบ่งกลุ่มชัดเจนว่าจะเจาะกลุ่มไหน สำหรับ SMEs การเจาะตลาด Mass เป็นเรื่องยากเพราะมีคู่แข่งเป็นบริษัทใหญ่ๆที่อยู่มานาน เงินหนา

ทางที่ดีอาจเริ่มจากตลาดเฉพาะกลุ่มหรือ niche market ถ้ากลุ่มลูกค้ามีปริมาณ และกำลังซื้อเพียงพอธุรกิจเราก็อยู่ได้ได้ หลายๆธุรกิจที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มก็ยังอยู่ได้อย่างรถก้างที่วิ่งในรางเคยฮิตมากๆเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วนึกว่าไม่มีคนเล่น แต่ปัจจุบันก็ยังมีกลุ่มคนที่ยังรักและเล่นอยู่และเป็นตลาดที่ใหญ่ซะด้วย niche market  ล

การเจาตลาดเฉพาะกลุ่ม เครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญและต้นทุนไม่แพงคือการใช้ internet marketing ใช้ blog facebook IG hi5 line ให้เป็นประโยชน์ และหาความรู้เรื่อง SEO ปรับแต่งเนื้อหาเว็ปให้ google ชอบจะได้ให้อันดับบทความดีๆ ลูกค้าค้นหามาจะได้เจอเว็ปเรา การตลาดสมัยใหม่มีหลักการง่ายๆว่า "ที่ไดมีคนที่นั่นมีเงิน"

ซึ่งธุรกิจแต่ละขั้นกลยุทธิการตลาดก็จะใช้แตกต่างกัน
ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง กลยุทธการตลาด ผลประกอบการ ในแต่ละช่วงการเติบโต
ที่มา : สรรพงศ์ ลิมป์ธำรงกุล, "แกะงบการเงินสไตล์ VI", สํานักพิมพ์ think good, 2557

5. รูปแบบธุรกิจเป็นอย่างไร

ตอนนี้ธุรกิจเราใกล้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ต้องขมวดปมความคิดออกมาเป็นโมเดลธุรกิจที่ เครื่องมือหนึ่งที่มีประโยชน์คือ Business Model Canvas เป็นเครื่องมือที่ลงรายละเอียดในแต่ละส่วนต่างๆ โดยจะแยกย่อยหัวข้อลงไปอีกเป็น 9 ส่วน ทำให้เราสามารถออกแบบและวางแผนธุรกิจได้ง่ายขึ้น ประกอบด้วยคำถาม 4 ข้อที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ คือ  ทำ(สินค้า)อะไร?  ทำอย่างไร?  ทำ(ขาย)ให้ใคร? และ  คุ้มค่าหรือไม่?

  • ทำ(สินค้า)อะไร?
    • คุณค่าที่นำเสนอ: Value Propositions
  • ทำ(ขาย)ให้ใคร?
    • กลุ่มลูกค้า Customer Segment
    • ช่องทางการเข้าถึง Channels
    • สายสัมพันธ์ลูกค้า Customer Relationship
  • ทำอย่างไร?
    • ทรัพยากรของบริษัทเราคืออะไร? Key Resource
    • งานหลักที่ทำคืออะไร? Key Activities
    • ใครคือคู่ค้าของเรา? Key Partners
  • คุ้มค่าหรือไม่?
    • วิธีการหารายได้ของเราเป็นอย่างไร? Revenue Streams
    • ค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจคืออะไร? Cost Structure

6. จะหาเงินทุนจากไหน

แผนชัดเจน ความรู้สึกของการเป็นคนรวยจะเกิด มันจะดิ้นรนหาเงินมาทำจะเกิดขึ้น

โดยแหล่งที่มาของเงินจะมาจาก 2 ส่วนคือ "หนี้สิน" กับ "ส่วนของเจ้าของ" แต่ส่วนใหญ่ธุรกิจที่เพิ่งเปิดจะไม่ค่อยมีใครให้กู้ก็ต้องให้แหล่งที่มาของเงินจากส่วนของเจ้าของเป็นหลัก หนี้สินกู้ยากบางทีก็ต้องกู้ดอกเบี้ยแพงๆ บางคนก็ใช้บัตรเครดิต กู้วงแชร์ ก็มี ช่วงแรกๆจะขลุกขลักหน่อยแต่ให้พยายามเดินบัญชีให้เงินผ่านธนาคารไว้ 6 เดือนก็ไปขอวงเงินสินเชื่อได้ ธ.กรุงศรี ผู้ใจดีทำ info graphic ให้ ( www.krungsri.com) ก็มีฝ่ายสินเชื่ออยู่ ยิ่งถ้าธรุกิจเติบโตพาเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ต้นทุนการเงินยิ่งถูก บางบริษัทได้วงเงินกู้เบิกเกินบัญชีดอกเบี้ยแค่ 2% ก็มี

ในฝั่งแหล่งที่ใช้ไปของเงินคือเอาไปซื้อสินทรัพย์เพื่อประกอบธุรกิจประกอบด้วยสองส่วนคือเงินที่ใช้ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่นที่ดินอาคารและอุปกรณ์ต้องมีอะไรบ้าง และเงินทุนที่ใช้หมุนเวียน ที่ประกอบด้วยเงินที่ไปจมกับลูกหนี้การค้าถ้าเราขายเครดิต เงินที่จมไปกับสินค้าคงเหลือ และเงินที่ต้องเตรียมไว้จ่ายเจ้าหนี้การค้า

7. ถ้าเจ้งจะทำอย่างไร

ไม่ว่าแผนธุรกิจของเราจะดูดีเพียงไร เวลาทำจริงมักจะไม่ค่อยเป็นไปอย่างที่คิด ดังนั้นเราต้องคิดเผื่อกรณีเลวร้ายที่สุดเอาไว้ว่าถ้าขายไม่ได้เลย รายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายมีเท่าไร จะหาเงินจากไหนมาจ่าย แล้วจะสู้ทนได้กี่เดือนถึงยอมแพ้และถ้าจะเลิกธุรกิจไปเลยจะทำอย่างไร จะกลับไปทำงานประจำได้หรือไม่


ตอบได้ 7 ข้อตามนี้แผนธุรกิจท่านจะชัดเจน เริ่มต้นไม่มั่วจะไปพูดระดมทุนจากเพื่อนก็เอออนห่อหมกให้เงินทุนมาทำ เหลือแค่ทำตามฝันและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่คาดคิดให้ได้ สู้ต่อไปทาเคชิ

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การเล่นกล้ามหลังส่วนล่าง Barbell Dead Lift

ออกกำลังกายกันบ้างเดี๋ยวไม่มีเวลาใช้เงิน ท่า dead lift เอาไว้บริการกล้ามเนื้อหลัง

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เรียนภาษาอังกฤษฟรี กับวิดิโอชุด English For You

จะเอา AEC อยู่แล้วภาษาไม่ได้ติดต่อการค้าลำบาก
แนะนำชุดวิดิโอเรียนภาษาอังกฤษฟรี  English For You มีหลายตอนฟังซ้ำ พุดตามไปเรื่อยๆมันต้องได้บ้างละ



วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

kpi ฝ่ายการตลาด

ฝ่ายการตลาดถือเป็นด่านหน้าที่จะทำให้ลูกค้าอยากจ่ายเงินให้บริษัท คิดวางแผนการตลาด อัดโปรโมชั่น ออกสื่อโฆษณา จัดของแถม แต่ละปีก็ของบประมาณกันมหาศาลแต่ไม่รู้ว่าเงินที่เอาไปเกิดประโยชน์แค่ไหน

ถ้าลองสินค้าในบริษัทเป็นกลุ่มๆ

งบการตลาดแต่ละกลุ่มสินค้าคือเงินที่เราใส่เข้าไป อาจเป็น A B C D
การเปลี่ยนแปลงของยอดขายคือ output ที่เราอยากเห็น

เราก็จะสามารถสร้าง kpi ฝ่ายการตลาดได้ง่ายๆ โดยสร้างอัตราส่วน

การเปลี่ยนแปลงยอดขายสินค้า A / งบการตลาดที่ใส่ให้สินค้า A

มีสินค้ากี่กลุ่มก็สร้างอัตราส่วนไปเท่านั้น

ถ้าใส่เงินแล้วไม่เห็นผลก็ต้องมาคุยกันละว่าคุ้มหรือไม่ ต้องปรับปรุงอะไรหรือไม่ ทำไมยอดไม่ขึ้น ทำการตลาดไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ ลูกค้าไม่รับรู้ ฯลฯ

ปรับไปเรื่อยๆการตลาดของบริษัทจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่างการปรับปรุงแผนการตลาดของ www.investidea.in.th 

เว็ปนี้เป็นเว็ปไว้สอนเล่นหุ้นของผมเองแหละ ในบล็อกติดตัวนับคนไว้ว่ามีเข้าเว็ปเท่าไร เข้ามาแล้วมาดูหน้าโฆษณาเท่าไร ติดต่อเข้ามากี่คน ตัดสินใจเรียนกี่คน

การตลาดไม่ต้องใช้งบอะไรขอให้นำเสนอ sale page ของคอร์สให้โดนใจผู้เรียนแก้ปัญหาชีวิตให้เขาได้เลยสร้าง KPI คือ

จำนวนลูกค้าที่ลงทะเบียน / จำนวนผู้เข้าชมหน้าโฆษณา

จำนวนผู้เข้าชมโฆษณาก็อาศัยประกาศในเว็ปประกาศต่างๆ เขียน content ที่คนอย่างรู้ให้เข้ามาอ่าน

ส่วนจำนวนลูกค้าที่ตัดสินใจลงทะเบียนต้องอ่านโฆษณา เริ่มจากตั้งโจทย์ปัญหาของลูกค้าได้คือ เริ่มเล่นหุ้นต้องวิเคราะห์อะไรบ้าง มันเยอะไปหมด ก็ปรับคำโฆษณาไปเรื่อย แล้ววัดจำนวนลูกค้ามาลงทะเบียนว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง ถ้าลดลงก็แปลว่าโฆษณาของเราใช้ไม่ได้ก็ต้องแก้ใหม่ บางโฆษณาเขียนไปไม่มีคนเรียน บางโฆษณาเขียนแล้วคนมาก็เก็บไว้ ปรับอยู่เกือบครึ่งปีครับกว่าจะได้ที่โอเค

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แต่งผิวให้ขาวเนียนด้วย Adobe Lightroom

แต่งผิวให้ขาวเนียนด้วย Adobe Lightroom สวดยวดมาก ดูแล้วชอบต้องเก็บไว้

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Running Drills แบบฝึกหัดเพื่อปลูกฝังพฤติกรรมท่าวิ่งที่ถูกต้อง

จะทำธุรกิจให้ยั่งยื่นต้องรักษาสุขภาพ การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดี แต่ถ้าวิ่งผิดท่าชีวิตจะมีปัญหาบาดเจ็บบ่อย มาดูแบบฝึกหัดท่าวิ่งที่สามารถช่วยลดการบาดเจ็บได้ครับ จากเพจวิ่งเท้าเปล่า[1]
แบบฝึกหัดท่าวิ่ง


+++High Knees ยกเข่าสูง (แทงเข่า)+++
ยกเข่าสลับข้าง ให้เข่าขึ้นมาอยู่ในระดับเหนือเอว

น่าจะเป็นแบบฝึกหัดวิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ว่าในเวลาวิ่งจริงสำหรับนักวิ่งระยะไกลจะไม่ได้ยกเข่าสูงขนาดนี้ แต่ที่จำเป็นต้องฝึกเพราะนักวิ่งส่วนใหญ่มักคิดจะ “ก้าวเท้า” มากกว่า “ยกเท้า” แล้วเท้ามันจะยกได้ เราต้อง “ยกต้นขาหรือเข่า” ขึ้น เรากำลังใช้กล้ามเนื้อแกน (core) ในการยกเข่าขึ้น (ลองทำดู) จำไว้ว่าเวลาวิ่ง ให้ “ยกต้นขา เลี้ยงเข่า” อย่า “ก้าวเท้า” … เท้าน่ะมันติดกับขา เรายกต้นขา เท้ามันก็ติดมาด้วย ไม่ต้องห่วง เราต้องสอนให้ร่างกายใช้กล้ามเนื้อใหญ่ (กล้ามเนื้อแกนและต้นขา) คุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่เล็กกว่า (ปลายขาและเท้า) ไม่ใช่กลับกัน!

--------------------------------------------------
+++Butt Kicks เตะก้น+++
ยกเท้า ให้ส้นแตะก้น สลับข้าง

ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดโดยการดึงเท้าขึ้นมาให้โดนก้น! ที่ถูกคือต้องยกต้นขาขึ้นมาตรงๆ เพื่อให้ขาท่อนบนพาขาท่อนล่างขึ้นมา และขาท่อนล่างก็พาเท้าและส้นขึ้นมาแปะก้น โดยที่ถ้าทำได้ถูกต้อง เรากำลังใช้กล้ามเนื้อต้นขาหน้า (Quads) ไม่ใช่กล้ามเนื้อต้นขาหลัง (Hamstring) ในการดึงเท้าขึ้นมา (ใช้กล้ามเนื้อใหญ่ ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเล็กอีกแล้ว)

“เตะก้น” จะฝึกรูปแบบของขาขณะวิ่ง ตอนที่สปริงขึ้นจากพื้น ม้วนพับมาอยู่ใต้ก้น เตรียมแทงเข่าไปข้างหน้า (High Knees)

--------------------------------------------------
+++Arm Pull Backs ดึงศอก+++
พับแขน 90 องศา แขนอยู่ข้างลำตัว แกว่งแขนจากหัวไหล่ โดยดึงศอกไปข้างหลังตรงๆ แล้วปล่อยให้ “เด้ง” กลับมาที่เดิม (เน้นคำว่า “เด้ง”) โดยช่วงที่แขนเด้งกลับมาหน้าลำตัว ให้กำปั้นไม่เลยแนวเส้นกลางลำตัว

“ดึงศอก”อย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะเห็นว่าเป็นร่างกายท่อนบน ซึ่งนักวิ่งหลายคนไม่ยอมแกว่งแขน หรือถ้าแกว่งก็ไม่อยู่ในแนว จริงๆ “การดึงศอก” หรือแกว่งแขน มันเป็นผลพวงของท่าวิ่งที่เราใช้ท่อนล่างที่ถูกต้อง คือถ้าเราใช้กล้ามเนื้อต้นขา (กล้ามเนื้อใหญ่) ในการเคลื่อนไหว มันจะทำให้หน้าอกเราหมุน (กล้ามเนื้อใหญ่เหมือนกันแต่อยู่ท่อนบน) แต่เรามีแขนไว้แกว่งแทนการส่ายอกไปมา ดังนั้นการที่ศอกดึงไปข้างหลังแล้วเด้งกลับมา จริงๆมันเป็นผลจากการขยับของท่อนล่าง ไม่ใช่ประดิษฐ์เอง

หากเราทำไม่เป็น จะเกิดท่าวิ่งแปลกอยู่ 2 ท่า:

1. เอาแขนล๊อกไว้กับหน้าอก แล้วแกว่างหน้าอกไปมาแทนระหว่างวิ่ง - ท่าวิ่งจะเหมือนหุ่นยนต์วิ่ง
2. แขนไม่แกว่ง เพราะท่อนล่างไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อใหญ่ - คือใช้ “ก้าวเท้า” วิ่งเอา ไม่ยอมขยับต้นขา

--------------------------------------------------
+++Step Overs กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง+++
หาอะไร (ไม่ต้องสูง) มาวางที่พื้น แล้วกระโดดข้าม เราจะกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางนั้นๆได้ โดยที่เท้าไม่ไปลากติดสิ่งของขึ้นมาด้วย เราต้อง “ยกขา” ครับ มีทางเดียว เป็นแบบฝึกหัดที่หัดให้ “ยกขา แทงเข่า” อีกแล้ว เพื่อหัดใช้กล้ามเนื้อขาท่อนใหญ่ ไม่ใช่ท่อนเล็ก

นอกจากฝึกใช้กล้ามเนื้อให้ถูกส่วนแล้ว ยังช่วยเรื่องของการลงเท้าด้วย เพราะการยกต้นขาขึ้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาส้นลงก่อน (ลองดู)

--------------------------------------------------
+++Body Balance ฝึกวิ่งเดินหน้าถอยหลัง+++
เพื่อให้เราเข้าใจว่า เวลาเราจะไปข้างหน้า เราต้องมีการโน้มลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย (เน้น! เล็กน้อย) เหมือนกับเวลาเราจะไปข้างหลังเช่นกัน ถามว่ามากแค่ไหน ตอบว่าก็มากพอที่จะให้ร่างกายเราวิ่งไปข้างหน้าได้ แค่นั้น! ไม่ได้ต้องการการโน้มตัวอะไรมากมาย โน้มมากๆ เสียศูนย์เปล่าๆครับ


[1]https://www.facebook.com/runfootbare/photos/a.492966594091915.1073741828.492547910800450/717849301603642/?type=1&permPage=1

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ความรู้สึกส่วนตัว เมื่อเป็นคนสัมภาษณ์พนักงานใหม่

คุณเป็นคนสัมภาษณ์พนักงานใหม่ หรือไม่ ---- ????
ผม อยากจะนำเสนอ ความรู้สึกส่วนตัว เมื่อเป็นคนสัมภาษณ์พนักงานใหม่
ความรู้สึกแรก ที่ได้รับ ไม่ว่าจะอยู่ที่บริษัทไหนๆ ก็ตาม
ผมจะตื่นเต้น มาก ในการอ่านชื่อ ประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน
ของผู้สมัครทั้งหลาย ...
ความรู้สึกถัดมา ก็รู้สึก ต้องตระหนักถึงตัวเอง ว่าจะสัมภาษณ์เขาอย่างไร
เพราะบางคน ประสบการณ์มาก เทพ และเก่ง คนสัมภาษณ์อย่างเรา จะต้องปรับตัว
อย่างไร ให้ตัวเองดูดี มีความรู้ ก็ยากใช่ไหมละ
ความรู้สึกตอนสัมภาษณ์ละครับ ... ก็ตื่นเต้น เกร็งด้วย เขินด้วย ....
บางคน เราก็รู้สึกว่า ไม่ถูกชะตาเลย บางคน เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย คนนี้ใช่เลย
บางคน เราก็รู้สึกว่า จะมาไม้ไหนกันนี่
หลังจากนั้น เมื่อเราสัมภาษณ์เสร็จ เราก็ต้องเอาประสบการณ์ความรู้สึก ระหว่างที่เราสัมภาษณ์
ไปคุยกันต่อใช่ปะ
ตอนนี้แหละ ยากสุดๆ เลย เพราะ ทุกคน จะมีความเห็นแตกต่างกัน
และเลือกยากมาก เพราะถ้าเลือกผิด เราก็จะได้คนไม่ตามสเป็ก ตามความสามารถที่เราอยากได้
และที่ยากกว่าทั้งหมด คือ เขาเหล่านั้น ที่สมัครเข้ามา จะทำงานร่วมกับ สไตล์การทำงาน
ของบริษัทเรา ได้หรือไม่ ... ไม่ทราบได้เลย
ประสบการณ์ ในกระดาษ และประสบการณ์จากการพูดจา ไม่สามารถบอกได้ว่า
เขาทำงานร่วมกับเรา ได้หรือไม่
แต่ประสบการณ์จากการได้เคยร่วมงานกันมา หลายๆ ครั้ง สามารถสรุปได้ว่า
เรา และเขา ควรจะร่วมงานกันต่อ หรือไม่
หาก ผมเปลี่ยนคำว่า "บริษัท" เป็นคำอื่น เช่น งานเลี้ยง งานอดิเรก
งานกลุ่ม กลุ่มร้องเพลง กลุ่มนักดนตรี กลุ่มงานอะไรต่างๆ นานาจิตตัง
ผม ก็อยากจะบอกเขานะว่า "เรา ไปด้วยกันได้" สำหรับ ตัวจริง
และบอกกับเขานะว่า "เรา ไปด้วยกัน ไม่ได้" สำหรับ ตัวปลอม
อย่างคุณ

https://www.facebook.com/krubom/posts/10203034914208007?stream_ref=1

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

พลังของโลกออนไลน์กับการขายของใน 1 ชั่วโมง

พลังของโลกออนไลน์กับการขายของใน 1 ชั่วโมง
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากโพสนี้ก็คือ มันขายง่ายมาก และเร็วมาก! อย่างน่าตกใจ
เพราะของมือสอง ราคา 3,000 บาท ถูกขายออกในเวลาใน 1 ชั่วโมง
จากตัวอย่างเราจะเรียนรู้ได้ว่า เมื่อสิ่งของนั้นๆ มันอยู่ถูกที่และถูกเวลา มันจะทำการขายออกได้ง่ายกว่าเดิมมาก มาวิเคราะห์อย่างคร่าวๆกันครับ
- รายละเอียดสินค้า มีผลต่อการตัดสินใจในการซื้อ-ขาย และสามารถลดคำถามจากผู้ซื้อได้พอสมควร และควรให้ข้อมูลจริงอย่างตรงไปตรงมา
- รูปภาพ ยิ่งชัดเจนและมีหลายมุมยิ่งดี
- มีข้อมูลการติดต่อ
- มีโปรโมชั่น สำหรับในกรณีนี้คือ มารับสินค้าเองจะถูกกว่าการจัดส่งทางไปรษณีย์ เป็นต้น
- โพสในที่ที่เหมาะสม หมายถึง โพสนี้พบในกลุ่ม facebook แห่งหนึ่งซึ่งเ็นกลุ่มที่มีคนสนใจเกี่ยวกับสินค้านั้นๆอยู่แล้ว นั่นหมายถึงกลุ่มคนเหล่านั้น รู้จักสินค้าเป็นอย่างดีและมีโอกาสในการปิดการขายได้สูงกว่า และเร็วกว่า
- โพสในเวลาที่เหมาะสม ต้องสังเกตุด้วยว่าคนส่วนใหญ่เล่น Facebook ช่วงเวลาใดเยอะเป็นพิเศษ ก็จะทำให้โพสนั้นๆ มีโอกาสถูกเจอได้เยอะยิ่งขึ้น
แล้วเพื่อนๆได้เรียนรู้อะไรจากรูปภาพนี้กันบ้างครับ?

ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=815526945143413&set=a.483185698377541.119843.200512916644822&type=1

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

7 ขั้นตอน พูดบนเวทีให้ประสบความสำเร็จ

7 ขั้นตอน พูดบนเวทีให้ประสบความสำเร็จ โดยคุณ บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ มันเยี่ยมมาก

1. สร้างความน่าเชื่อถือ ด้วยการเล่าถึงเครดิตผลงานตัวเอง
อย่าอายที่จะโปรโมทตัวเอง

2. สร้างความเชื่อมโยง ด้วยการบอกว่าหัวข้อที่จะพูดกับผู้ฟังอย่างไร
จำไว้ว่ามนุษย์ทุกคนไม่สนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง

3. สร้างความประหลาดใจ ด้วยการตั้งคำถามให้สงสัย
เปิดด้วยคำถามดีๆ คนจะตั้งใจฟัง เพราะทุกคนมีปัญหาที่อยากแก้

4. สร้างความน่าติดตาม ด้วยน้ำเสียงและท่าทางบนเวที
เราไม่ใช่หุ่นยนต์ อย่าทำเสียงโมโนโมน
เราไม่ใช่สมอเรือ อย่ายืนหลักปักอยู่กับที่

5. สร้างหัวข้อย่อยๆ ในการพูด ด้วยการแบ่งเป็นข้อๆ
วัฒนธรรม powerpoint ได้สร้างให้คนคิดภาพในหัวเป็น bullet แล้ว
การแบ่งหัวข้อจะทำให้คนฟังที่ใจลอย กลับมาตามทันในหัวข้อถัดไป

6. สร้างจุดจดจำ ด้วยคำคมและเรื่องเล่าสนุกๆ
จำไว้ว่ามนุษย์คือปลาทอง ฟังหนึ่งชั่วโมง จำได้แค่ 5 นาที
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เหลือคือคำคมหรือเรื่องเล่าที่คนฟังจะจดจำ

7. สร้างความประทับใจ ด้วยบทสรุปคมๆ ที่รวบรวมใจความที่พูดทั้งหมด
จบให้ขาด อย่าร่อนลงแตะรันเวย์ แล้วร่อนขึ้นใหม่อีก
ให้คนฟังคิดว่าเมื่อไหร่เราจะกลับมาพูดอีก ดีกว่า เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที

https://www.facebook.com/wisoot.sangarunlert/posts/10152196834194841?stream_ref=10