วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเภทของการการแจ้งความ


ขอบอกไว้เป็นความรู้ครับ

การแจ้งความ ทางกฎหมายจะเรียกว่า "ร้องทุกข์"
กับ "แจ้งเพื่อเป็นหลักฐาน" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ลงบันทึกประจำวัน"

การร้องทุกข์ คือ การร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้เอาคนผิดมาลงโทษ การร้องทุกข์ จะต้องมีความประสงค์ที่จะลงโทษคนผิด มีผลทางกฎหมาย คือพนักงานสอบสวนจะต้องทำสำนวนเพื่อส่งต่อให้อัยการวินิจฉัยว่าฟ้องหรือไม่ฟ้อง แล้วอัยการก็จะสั่งฟ้อง เรื่องจะไปถึงศาล หรือมีอำนาจสั่งไม่ฟ้อง หรือมีอำนาจสั่งให้สอบเพิ่ม หรือ เรียกมาสอบเพิ่มเองได้

ส่วนการแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐาน หรือ ลงบันทึกประจำวัน เป็นการแจ้งเพื่อให้เป็นหลักฐานเฉยๆ ไม่มีผลใดๆ ทางกฎหมาย เอาไปใช้อะไรก็ไม่ได้ นอกจากเอาไปอ้างว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ่น แต่ไม่สามารถเอามาลงโทษผู้กระทำผิดได้

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Active sale คืออะไร


การขายสินค้า และ บริการ เป็นหัวใจของกิจการทั้งหลาย เพราะ เป็นการอัด 
ฉีดรายรับให้กับกิจการ เช่น การขายสินค้าแบบ PASSIVE SALE เช่น การเอาสินค้า 
มาวางไว้ แล้วรอคนมาซื้อ บางครั้งมันก็ไม่ง่ายนัก ยิ่งเป็นสินค้าที่ คนไม่สนใจ 
เป็นพิเศษ หรือ มีความจำเป็นต่อชีวิตของคนเรา สินค้าเหล่านั้นยิ่งไม่สามารถ 
จะเพิ่มยอดขายได้ง่ายๆ ถ้าสินค้าเหล่านั้นมี ค่าเสื่อม, วันหมดอายุ, หรือ 
ล้าสมัย ได้ยิ่งนักเลย กลายเป็น ต้นทุนทางธุรกิจระยะยาวได้ง่ายๆ!!!  

ขณะเดียวกัน... 
เจ้าของกิจการบางคน อาจต้องการเพิ่มยอดขายโดย การทำการผลักดันยอด 
ขาย แบบ ACTIVE SALE ด้วยการทำ Direct Sale กล่าวคือ หาทางเพิ่มยอด 
ขายโดยการ จ้างนักขายมาหาลูกค้า แล้ว ทำการสาธิต หรือ บรรยายให้ 
ลูกค้าฟัง 

ทำนองว่า... 
"คุณจะทำยังไงก็ได้ ขอให้ปิดยอดขายให้ได้ก็แล้วกัน!!!"  

บ่อยครั้งที่ คนซื้อมุ่งหวังเหล่านั้น เค้าก็ไม่ได้สนใจ แต่ก็ทนฟังเรื่องราวที่ 
เป็นจิตวิทยาการขาย ของบรรดานักขายตรงเหล่านั้นไม่ไหว อีกนัยนึง ก็คือ 
ถูกยัดเยียดสินค้าให้ซื้อ ราวกับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น หรือ วิเศษซะเหลือเกิน 
ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า คุณต้องพิจารณากันเองว่า ในชีวิตคุณมีสินค้าอะไร 
บ้างที่เคยซื้อมาด้วยวิธีการแบบนนี้?  

แน่นอน...กลยุทธในการทำธุรกิจของแต่ละกิจการอาจแตกต่างกันไป แต่ 
เป้าหมายนั้นคงไม่ต่างกัน คือ หารายได้ให้กับกิจการเติบโตต่อไปนั่นเอง!!

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลักยึดปฏิบัติ 10 ของ google

สโลแกนอย่างไม่เป็นทางการที่พนักงานกูเกิ้ลพูดติดปากก็คือ “Don’t be evil” แม้ว่าคำนี้จะไม่ปรากฏอยู่ในรายการหลักยึดปฏิบัติที่ประกาศออกมาเป็นทางการของบริษัท แต่มันก็ปรากฏอยู่ในหนังสือชี้ชวนเมื่อกูเกิ้ลประกาศ IPO ในปี 2004 ในหัวข้อสารจากผู้ก่อตั้งบริษัทว่า "Don’t be evil. We believe strongly that in the long term, we will be better served — as shareholders and in all other ways — by a company that does good things for the world even if we forgo some short term gains." ผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ เพราะไม่มีองค์กรใดที่ยั่งยืนและเจริญงอกงามได้ หากไม่ได้มุ่งเน้นทำสิ่งแวดล้อมที่ตนดำรงอยู่ ไล่ไปตั้งแต่ สังคม ลูกค้า ลูกจ้าง ไปจนถึงเจ้าของ ไม่ต่างกับหลักการเดียวกับระบบนิเวศวิทยาที่สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อระบบ หากไม่ทำให้ทั้งระบบล่ม ก็คงต้องเสื่อมหรือถูกกำจัดทำลายไปเพื่อความอยู่รอดของระบบอย่างแน่นอน นอกจากนี้กูเกิ้ลยังมีหลักยึดปฏิบัติ 10 ประการที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจจึงขอนำมาแชร์ดังนี้
  1. ยึดผู้ใช้เป็นหลักแล้วสิ่งอื่น ๆ จะตามมา กูเกิ้ลเน้นที่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ เน้นการใช้งานที่ง่าย ยึดผลประโยชน์ของผู้ใช้เป็นที่ตั้ง ซึ่งจะเห็นว่ากูเกิ้ลเน้นที่ผู้ใช้ ไม่ใช่ลูกค้า เพราะผู้ใช้คือต้นกำเนิดแห่งธุรกิจทั้งมวล เมื่อผู้ใช้พอใจ ลูกค้าของกูเกิ้ลก็จะทำเงินได้มาก และส่งผลต่อกำไรอันงดงามแต่บริษัท ผู้เขียนมองเห็นบริษัทมากมายที่พลาดไปทุ่มทุกอย่างที่ลูกค้า เช่นตัวแทนจำหน่าย แต่มองข้าม ผู้ใช้ หรือ End Consumer ว่าเขาใช้สินค้าแล้วมีความพอใจหรือไม่ หรือเขากำลังรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งหรือเอาเปรียบ และสุดท้ายเมื่อผู้ใช้บอกลาสินค้า ทั้งระบบก็จบ
  2.  ทำแค่อย่างเดียวให้ดีมาก ๆ นั่นแหล่ะดีที่สุด กูเกิ้ลมีทีมวิจัยเกี่ยวกับสืบค้นข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อทำการค้นคว้าอย่างจริงจังถึงวิธีที่ดีที่สุดในการทำ Search Engine ผู้เขียนเคยอ่านประวัติของผู้ก่อตั้งว่าในสมัยที่กูเกิ้ลเพิ่งเริ่มตั้งไข่ ผู้ก่อตั้งได้เคยสัมภาษณ์ผู้บริหารของ Yahoo หรือ Search Engine ยักษ์ใหญ่หลายรายที่กำลังเฟื่องฟูในขณะนั้นแล้วพบว่า จริง ๆ แล้
    วพวกเขา ไม่ได้เน้นที่ธุรกิจค้นหาข้อมูล ล้วนแต่มองไปที่การเป็น Web Portal และนั่นคือช่องทางให้ Larry Page และ Sergey Brin ตัดสินใจว่าเขาจะเป็นที่หนึ่งในการสืบค้นข้อมูลให้ได้และเขาก็ทำได้จริง
  3. เร็วย่อมดีกว่าช้า กูเกิ้ลทราบดีกว่าลูกค้าต้องการหาข้อมูลให้ตรงและเร็ว จึงอาจเป็นบริษัทเดียวในโลกในการตั้งเป้าระบบค้นหาของบริษัทว่าจะต้องช่วย ให้ผู้ใช้เข้ามาใช้เว็บแล้วออกไปจากเว็บให้เร็วที่สุด ผู้เขียนก็เฝ้ารอบริษัทในประเทศไทยหลายบริษัทให้มีแนวความคิดเช่นเดียวกัน นี้ เช่นระบบคอลเซนเตอร์ที่ทิ้งให้ลูกค้าคุยกับคอมพิวเตอร์หรือฟังโฆษณาและไม่ ได้คุยกับพนักงานเพื่อสอบถามในสิ่งที่ต้องการในทันที หรือ ศูนย์บริการที่ไม่พอเพียงจ่ายบิลทีไรต้องนั่งรอจนเผลอหลับ
  4. ประชาธิปไตยในเว็บสามารถใช้งานได้ กูเกิ้ลใช้หลักประชาธิปไตยในการกำหนดอันดับของเว็บที่จะแสดงขึ้นเมื่อผู้ใช้ ค้นหาตามคีย์เวิร์ด ผ่านระบบที่เรียกว่า Page Rank ซึ่งเหมือนเป็นกลไกการนับคะแนนว่าเว็บอื่น ๆ โหวตให้หน้าเพจไหนเป็นตัวแทนของคีย์เวิร์ดนั้นๆ ซึ่งต่างกับระบบค้นหาเวปของค่ายอื่นที่นับที่จำนวนคำในเพจหรือแย่ไปกว่านั้น คือใครจ่ายให้มากก็ได้อันดับต้นๆไป ผู้เขียนเชื่อในประชาธิปไตยว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะบริหารให้ผู้อยู่ใน ระบบได้รับมูลค่าดีดีอย่างเสมอภาค จึงเห็นด้วยกับวิธีการของกูเกิ้ลเป็นอย่างมาก
  5. คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ที่โต๊ะทำงานเพื่อค้นหาคำตอบ กูเกิ้ลมองว่าโลกทุกวันนี้เคลื่อนตัวมากขึ้น จึงขยายบริการของตนให้สามารถสนับสนุนการเคลื่อนที่ของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล เช็คอีเมล์ หรือ ดูวีดีโอ ให้สามารถทำผ่านมือถือได้มากขึ้น เปรียบเหมือนกิจการอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์ ที่ผู้เขียนมองหากิจการที่เอื้อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกิจได้ทุกที่และเวลาที่ ต้องการ ไม่ว่าจะผ่านระบบมือถือ หรือจำนวนสาขาที่มาก หรือทำเลที่เหมาะสม หรือ ระบบการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมก็ตาม
  6. หาเงินได้โดยไม่ต้องทำสิ่งไม่ดี Google เป็นธุรกิจที่มีรายได้จากการเสนอเทคโนโลยีการค้นหาให้แก่บริษัทต่างๆ และจากการขายโฆษณาที่ปรากฏบนไซต์ของตน ตลอดจนไซต์อื่นๆ บนเว็บ แต่บริษัทก็มีข้อกำหนดต่าง ๆ เพื่อควบคุมไม่ให้บริการเหล่านี้ไปส่งผลเสียหรือกระทบให้คุณภาพบริการที่ผู้ ใช้ได้รับนั้นด้อยลงอย่างเด็ดขาด เช่นแสดงผลข้อมูลจาก Page Rank, มีข้อความบอกชัดเจนว่านี่คือโฆษณา หรือ ไม่อนุญาตให้ลงโฆษณาที่สร้างความรำคาญให้ผู้ใช้ เช่น Pop-Up ต่างๆ
  7. ข้อมูลใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ กูเกิ้ลพยายามค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจไม่สามารถหาเจอในคราวแรก แต่วิศวกรของกูเกิ้ลต้องพัฒนาความสามารถในการค้นหาข้อมูลให้ลึกขึ้นเพื่อ บริการผู้ใช้ เช่น เบอร์โทรศัพท์ และที่อยู่ ซึ่งจุดนี้กูเกิ้ลพยายามทำหน้าที่ของเขา แม้ว่ามันอาจเสี่ยงเรื่องความเป็นส่วนตัว ซึ่งเราในฐานะผู้ใช้ก็ต้องระวังเวลาโพสอะไรไว้บนเน็ตบ้างเหมือนกัน
  8. ผู้คนในทุกแห่งต้องการข้อมูลเหมือนกัน แม้ว่าจะก่อตั้งในอเมริกา แต่กูเกิ้ลก็มีสำนักงานอยู่ทั่วโลกในกว่า 60 ประเทศ สามารถรองรับการค้นหาและใช้ภาษาต่าง ๆ ได้กว่า 130 ภาษา ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ได้กว้างขึ้น รวมไปถึงหาข้อมูลที่อยู่ในภาษาที่ตนไม่เข้าใจ ผ่านระบบการแปลภาษาของกูเกิ้ล
  9. คุณสามารถจริงจังได้โดยไม่ใส่สูท กูเกิ้ลเชื่อว่าบรรยากาศการทำงานที่ดีควรท้าทายให้ทีมงานได้คิด สร้างสร้างผ่านการเล่นและใช้ชีวิต เมื่อมีไอเดียใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในระหว่างเข้าแถวรอซื้อกาแฟ หรือ เล่นกีฬา พนักงานต้องมีเวทีให้ทดลองไอเดียนั้นทันที
  10. ถึงจะดีมากแต่ยังดีไม่พอ การเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดสิ้นสุด กูเกิ้ลมักตั้งเป้าหมายที่ยากจะบรรลุ แต่การตั้งเป้าหมายแบบนี้ทำให้ทีมงานทุ่มเทเต็มที่และได้ผลลัพธ์ดีกว่าคาด เสมอ ความคิดสร้างสรรค์ช่วยได้มาก เช่น การเชื่อว่าการสะกดคำให้ถูกต้องจะช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ดีขึ้น ได้นำไปสู่โปรแกรมช่วยสะกดคำของกูเกิ้ลที่นำความพึงพอใจและความสะดวกสบายมา ให้แก่ผู้ใช้

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประสิทธิผล (Effectiveness) และ ประสิทธิภาพ (Efficiency) เรื่องที่ต้องคิดตลอดเวลาเมื่อทำธุรกิจ

ประสิทธิผล (Effectiveness) และ ประสิทธิภาพ (Efficiency) เป็นคำสองคำที่เราควรนึกถึงเสมอไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่มักจะมองไปที่ประสิทธิผลกันก่อน เพราะประสิทธิผลนั้นคือ การทำงานที่มุ่งบรรลุเป้าหมายเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการ แต่ถ้าหากอยากเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง เราต้องมองต่อไปถึงขั้นที่เหนือกว่านั้นคือ ประสิทธิภาพ ซึ่งหมายถึงการทำงานที่บรรลุเป้าหมาย ด้วยการมุ่ง ใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด หรือผลิตของเสียออกมาให้น้อยที่สุด

จะเห็นว่า ประสิทธิผลนั้นขั้นสุดของมันก็คือทำงานสำเร็จ แต่ประสิทธิภาพนั้นไม่มีที่สิ้นสุด คือเราหาทางตั้งเป้าหมายที่ท้าทายเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ และสำหรับการดำรงชีวิตหรืองานการเป็นนักลงทุน เราก็ไม่ควรมองแค่ประสิทธิผล คือ แค่ทำงานให้เสร็จ หรือลงทุนให้ได้กำไร แต่ควรจะมองประสิทธิภาพด้วย เราใช้ทรัพยากรได้น้อยลงหรือไม่
  • เช่นเราสามารถลดค่าใช้จ่ายจำพวกค่าคอมมิสชั่น หรือ ค่าใช้จ่ายเดินทาง หรือการใช้เวลาในการหาข้อมูลได้น้อยลงหรือไม่ หรือ เราผลิตของเสียออกมาน้อยลงเพียงใด เช่นจำนวนการลงทุนที่ผิดพลาดต่อปี อย่าได้มองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เงินค่าคอมมิสชั่นเพียง 1 บาทที่ประหยัดได้ในปีนี้ หากเรานำไปลงทุนต่อในพอร์ตของเรามีมีผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะกลายเป็น 38 บาท หรือเพิ่มขึ้น 3700% 
  • หรือ เวลาที่เราสูญเสียไปในการเดินทางและการติดอยู่บนท้องถนนตอนเช้า 2 ชั่วโมง ตอนเย็นอีก 2 ชั่วโมง รวมแล้ววันละ 4 ชั่วโมง ทำงานเดือนละ 22 วัน เท่ากับว่าเราสูญเสียชีวิตอันมีค่าของเราไปปีละ 1056 ชั่วโมง หรือ 44 วันต่อปี หรือเกือบ 2 เดือน ตกลงเราใช้ชีวิตจริงๆอยู่แค่ 10 เดือนต่อปีเท่านั้น หากมองในมุมเหล่านี้ 
จะเห็นว่าการพัฒนาประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นสิ่งดีดีที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเราให้ดีขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยที เดียว

แต่อย่างไรก็ตามในบางงานก็เน้นประสิทธิผลมากกว่าประสิทธิภาพ เช่นขายสินค้าราคาแพงๆ ให้ลูกค้าระดับครีม เขาจ่ายเงินแพงเท่าไรไม่ว่าขอให้ถูกใจ ถ้าแบบนี้ก็ทำทุกวิถีทางให้บรรลุเป้าหมายให้ได้แล้วกันรับรองรวย

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิธีดูว่าขายตรงที่ทำอยู่ มั่นคงหรือไม่


วิธีง่ายๆในการสังเกตุว่าขายตรงที่คุณทำอยู่นั้น มั่นคงหรือไม่ หรือสิ่งที่ทำไปจะเหนื่อยฟรี

  • ในบริษัททุกๆบริษัทขายตรงจะมีคนอยู่สองประเภทคือคนอยากได้เงินกับคนอยากได้สินค้า ถ้าคนอยากได้เงินมากกว่าคนอยากได้สินค้าบ.นั้นอยู่ยาก
  • มองดูใต้องค์กรของคุณว่าส่วนมากมีคนประเภทใดอยากได้เงินหรืออยากได้สินค้า หากมีแต่คนอยากได้เงินบอกตรงๆองค์กรคุณอยู่ยาก
  • หากแผนการตลาดมีต้องมีการรักษายอดเพื่อที่จะรับรายได้(ไบนารี่)ลองดูว่าส่วนมากรักษายอดหรือไม่ การรักษายอดเป็นอย่างไร หากพบว่าใต้องค์กรของคุณส่วนมากไม่มีการรักษายอด แสดงว่าสินค้าไม่มีคุณภาพพอที่จะซื้อซ้ำในราคาที่สูง เท่ากับว่าคุณกำลังตักน้ำใส่โอ่งที่รั่วทำอย่างไรก็ไม่มีวันเต็ม
  •  ลองถามตัวเองดูว่าสินค้านี้ถ้าใช้แล้วไม่ได้เงินหรือใช้โดยไม่ได้ทำธุรกิจ จะใช้มันไหม ถ้าคำตอบว่าใช่ผมว่าคุณมาถูกทางแล้วครับ
  • หากเราหยุดทำดาวไลท์ของเราสามารถซื้อสินค้าได้หรือไม่ หรือหากอัพไลท์เราหยุดแล้วเราสามารถที่จะซื้อของได้หรือไม่ บ.ขายตรงที่น่าทำควรมีหลายสาขาโดย บ.เป็นผู้เปิดเพื่อการันตีความมั่นคงว่าเมื่อเราหยุด ดาวไลท์หรือลูกค้าของเราสามารถที่จะบริโภคสินค้าอย่างต่อเนื่องได้
  • หากมีดาวไลท์เกินหกคนลองดูว่ามีกี่คนที่สามามารถจะอธิบายสินค้าแผนการตลาดได้กี่คน บริษัทหรือองค์กรณ์ที่ดีควรจะมีการอบรมที่ดีสามารถถ่ายทอดให้คนที่ตามมามีความรู้ในการตอบข้อโต้แย้งแนะแนะนำสินค้าให้กับลูกค้าได้ดี


วิจารณ์กากๆโดย
มังกรหยก สำนักข่าววางเพลิง
https://www.facebook.com/flamenews/posts/378665865535511

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

6 เรื่องที่ต้องตัดสินใจเพื่อพิชิตความสำเร็จ


คุณ Peter Cohan[1]  ได้ทำการสำภาษณ์ CEO 180คน  ว่า what makes the difference between the few who succeed and the many who fail และสรุปมาเป็น 6 เรื่องที่ต้องตัดสินใจเพื่อพิชิตความสำเร็จ

  1. ตั้งเป้าหมาย
  2. เลือกตลาด
  3. จัดหาเงินทุน
  4. สร้างทีม
  5. สร้างส่วนแบ่งตลาด
  6. ปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง
เข้าอ่านต่อได้ที่

[1]: inc.com/peter-cohan/6-vital-decisions-you-must-make-to-succeed.html

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

อยากเป็นพริตตี้ ต้องทำยังไง


บทความจากน้องลูกน้ำเขียนให้สำหรับคนอยากเป็นพริตตี้ครับ

มีเข้ามาถามบ่อยๆว่า "อยากเป็นพริตตี้ ต้องทำยังไง" วันนี้จะมาแนะให้อ่านกัน ตามแบบวิธีที่น้ำได้เข้ามาเริ่มทำงานตรงนี้.....

  1. ถ่ายรูปบ่อยๆ ได้ช่างภาพถ่ายให้จะดีมาก ช่างภาพถ่ายโปรไฟล์ให้สาวๆตอนนี้มีเยอะ ไม่ต้องเสียตังค์ค่าจ้าง หาได้ตามเว็บเลย เค้าจะตั้งกระทู้ชวนนางแบบไปถ่ายรูป จะอินดอร์ เอา์ท์ดอร์ก็ว่ากันไป แต่ต้องเลือกดีๆ ระวังโดนหลอก ที่ต้องให้ถ่ายรูปนี่คือใช้นำไปทำโปรไฟล์สมัครงานนี่เอง
  2. สร้างโปรไฟล์ของตัวเอง ลองเซิร์ทจากกูเกิ้ลดูว่าโปรไฟล์พริตตี้ต้องทำยังไง แล้วก็ดูว่าเว็บไหนโพสต์งานเกี่ยวกับพริตตี้ เราจะได้เข้าไปดูอัพเดทงาน งานไหนเราอยากทำ ก็ส่งโปรไฟล์ไป
  3. เช็กตัวเองด้วยว่าอยู่ในระดับไหน สวยมากสวยน้อย แล้วตั้งเรทไว้เลยว่าอย่างเราจะรับงานวันละเท่าไรดี ตั้งแต่500 600ไปจนถึงพันสองพันก็ว่ากันไป
  4. ถ้าไม่เคยทำงานอะไรมาเลย อย่าเลือกงาน จะพริตตี้ จะPc จะPg ได้แค่วันละ500-600บาท จะอะไรก็ทำไปก่อนให้เป็นประสบการณ์ของตัวเอง ว่าเคยผ่านงานตรงนี้มานะ อย่างน้อยนี่ก็คือขั้นแรกของการสร้างประสบการณ์ และเวลาเราทำงานต่อไปเรื่อยๆก็จะไม่เกร็ง ดูเป็นโปรไปเลย
  5. เวลาทำงาน ทำตัวดีๆ น่ารักๆ ไม่เบี้ยว ไม่เหวี่ยง ไม่วีน ไม่เรื่องมาก คนที่จ้างงานเราเค้าจะได้เห็นว่า เออ...เราทำงานดีนะ พูดง่าย ไม่สร้างปัญหา งานหน้าเค้าก็เรียกเราต่อ เราก็สบายละ
  6. ถ้าอยากได้งานต้องเข้าไปดูงานตามเว็บพริตตี้ต่างๆ ขยันส่งโปรไฟล์ ยิ่งส่งเยอะ ก็มีสิทธิ์ไปแคสเยอะ ส่วนจะผ่านไม่ผ่านก็แล้วแต่ดวง กับสเปคที่ลูกค้าเลือก แต่แนะนำเรื่องการแต่งกายด้วย ถ้างานไหนมันเรียบร้อยก็แต่งสวยเรียบๆไป ถ้างานไหนชอบเซ็กซี่ก็จัดเต็มกันไป
  7.  อัพเดทโปรไฟล์ตัวเองบ่อยๆ พยายามใช้รูปถ่ายให้เป็นปัจจุบันในการส่งโปรไฟล์ เรื่องน้ำหนักส่วนสูงก็ว่ากันไปตามจริงจะดีมาก รูปถ่ายต้องเหมือนตัวจริง เพราะถ้าเค้าเลือกเราจากรูป แล้วเจอตัวจริงไม่เหมือนในรูป เอ็งอาจจะตกงานตลอดกาลเลยก็ได้
  8. ข้อสุดท้ายละ ....ต้องสวยอยู่เสมอ ดูแลตัวเอง จะปล่อยให้เป็นป้าเพิ้ง สิวเห่อกระจุยกระจายไปแคสงานไม่ได้ ถ้าถูกเรียกไปแคสงานแล้ว จะต้องสวยอยู่เสมอ เพราะงานพริตตี้ การแข่งขันมันสูง แต่มั่นใจตัวเองอย่างเดียวไม่พอ มันต้องรู้จักพัฒนาด้วย
จบละ ขยันพิมพ์จริงๆกู หวังว่าสาวๆคงจะได้ความรู้เพิ่มเติมนะจ๊ะ ขอให้ได้งานที่ตัวเองชอบกันทุกคน จุ๊บๆ
ที่มา https://www.facebook.com/Nammiiez/posts/2391937575721

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

เทคนิคการออกแบบใบปลิวแผ่นพับ


คุณ MD.18 จากเว็ป thaiseoboard.com ได้มาแชร์ มาแนะนำการจัดทำแผ่นพับใบปลิวให้มีประสิทธิภาพการโฆษณา ดึงดูดคนได้เยอะๆครับเขียนดีมากเชิญอ่านโดยพลัน    

  • ตั้งค่าไว้ที่ cmyk  300dpi
  • พื้นฐานของสมอง คือ พื้นสีขาว ตัวหนังสือสีดำ
  • ให้ใช้สีที่ ตัดกันพอสมควร 
  • พื้นที่สีขาวต้องมีประมาณ 2 ใน 3
  •  ชื่ออังกฤษต้องอยู่บนรูป
  • ชื่อไทยต้องอยู่ใต้รูป
  • ชื่อเว็บต้องตัวเล็กที่สุด
  • ตัวหนังสือต้องใหญ่ ไม่ต้องใส่รายละเอียดมาก
  •  คำเชิญชวนให้มีคำว่า ทันที เป็นการโน้มน้าวให้ปิดการขายได้เร็วขึ้น
  • และเมื่อเชิญชวนแล้วก้ให้มี เบอร์ติดต่อไปด้วยเพื่อให้ โทรมาได้ทันที
  • อย่าใช้ ฟ้อนท์เกิน 3 รูปแบบ
  • จงแสดงข้อดีของสินค้าคุณ มากกว่าที่จะ อวดอ้างสรรพคุณ
  • เมื่อพับเสร็จ ข้อมูลการติดต่อ สถานที่ ต้องอยู่ข้างหลังเสมอ เมื่อพลิกใบปลิวต้องได้รู้ว่าใบปลิวมาจากไหน
  • ควรทำใบปลิวสินค้าออนไลน์ เมื่อต้องการเพิ่มยอดขายของคุณ
  • ใบปลิวที่ออกแบบไม่ดีจะกลายเป็นสื่อทางการตลาดที่แพงมากเมื่อเทียบกับผลตอบรับประมาณ อัตรา 0.03% ที่คนจะสนใจ
  • ตรงกันข้าม ถ้าออกแบบมาดี จะเพิ่มอัตราความสนใจขึ้นมาเป้น ประมาณ 3% ในทันที ซึ่งถือว่ามากพอสมควร
  • เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง

ตัวอย่างใบปลิว
ที่มา http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,290425.0.html

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

บัตรเครดิตเกษตรกร ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างไร

บัตรเครดิตเกษตรกร ช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้อย่างไร จากการสอบถามเพื่อนที่เปิดร้านขายเคมีการเกษตรเขาว่า โดยปกติเวลาทำนาก็จะไปซื้อยาเซ็นกับร้านขายปุ๋ยซึ่งก็แพงกว่าซื้อสดเพราะ
  • ราีคาปุ๋ย - ยา - เมล็ดพันธ์ ที่ซื้อเงินเซ็นจากร้านยาเขาจะบวกราคาเพิ่มจากราคาที่ซื้อสด
  • มีดอกเบี้ยร้อยละ 3% ต่อเดือน ด้วย
แต่ถ้ามีบัตรเครดิตเกษตรกร ก็สามารถเอาบัตรนี้ไปรูดที่ร้านยาได้เลยประหยัดต้นทุนได้เยอะเพราะ
  • ซื้อ ปุ๋ย - ยา - เมล็ดพันธ์ ราคาเงินสด ถูกกว่าเซ็น
  • ถ้าจ่ายใน 4 เดือนไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
  • ถ้านาล่มหวังว่า ธกส คงใจดีลดหนี้บ้างอะไรบ้าง
ร้านยาก็ชอบใจเพราะ
  • พอมารูดซื้อ  ปุ๋ย - ยา - เมล็ดพันธ์ ก็เอาไปขึ้นเงินกับ ธกส 3 วันได้เงิน ปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียนก็หมดไปเพราะสมัยก่อนได้เครดิตจากบริษัทปุ๋ย 3 เดือน แต่เก็บเงินจากชาวนา 4 เดือน จะมีช่องว่างอยู่ 1 เดือน หมุนเงินกันเหงือกแห้ง อันนี้ 3 วันได้เงินก็จ่ายค่าของได้เลย
ท่านนายกโชว์บัตรเครดิตชาวนา

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

พฤติกรรมลูกค้ากลุ่ม Gen Y


ขอนำเสนอโปรไฟล์ของคนกลุ่มที่เรียกว่า Gen Y เผื่อใครสนใจจะไปเจาะตลาดกลุ่มนี้กัน เนื่องจากป็นกลุมที่คนให้ความสนใจ เพราะคนวัยนี้ (เกิดระหว่างค.ศ.1977-1995) มีสัดส่วนที่มาก โดยเฉพาะในอาเซียน ซึ่งมีมากถึง1ใน3 ของประชากรทั้งหมด (กว่า 200ล้านคน) และมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่าง นิยามของ Gen Y มีอยู่หลากหลายประเด็น แต่ขอสรุปแบบจำง่ายๆ คือ 4 I ตามรูป คือ

  1.  Individuality, 
  2. Intelligence, 
  3. Impatience, 
  4. Idealism 


ดูจากภาพแล้ว หวังว่าคุณคงเกิดไอเดียว่าจะ Blue Ocean กับคนกลุ่มนี้อย่างไร.. คราวหน้าAdminจะมาแชร์วิธีการ ‘fine-tune’ สินค้า เพื่อให้เจอ Blue Ocean ใน AEC

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

กลยุทธ์ที่ผิดพลาดของ apple

"การแข่งขันในปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นการแข่งขันระหว่างบริษัทหนึ่งกับอีกบริษัทหนึ่ง อีกต่อไปแล้ว..แต่เป็นการแข่งขันระหว่างซัพพลายเชนหนึ่งกับอีกซัพพลายเชนหนึ่ง"...ล่าสุดวันนี้ บริษัทแอปเปิ้ลเพิ่งจะตระหนักในเรื่องนี้

บริษัทแอปเปิ้ลพลาดที่จ้างซัมซุงผลิตชิ้นส่วนสำคัญจำนวนมากที่เป็นนวัตกรรมของตนเอง และแอปเปิ้ลวิเคราะห์ Five Forces ผิดพลาดครับ...บทเรียนธุรกิจที่โดยซัพพลายเออร์กลืนในอดีตมีมากมาย แต่แอปเปิ้ลไม่เรียนรู้...
  • โซนีก็เคยจ้างซัมซุง จนซัมซุงผลิตทีวีจอแบนออกขายแข่ง.
  •  หรือ โทรศัพท์โอทูที่จ้างเอชทีซี ก็ต้องถูกเอชทีซีเอา know how และ Technology ไป
เรื่องนี้เป็นกลยุทธธุรกิจที่ผิดพลาด บริหารความเสี่ยงไม่รอบคอบ ทั้งเรื่อง Outsourcing Risks, Supply Chain Risk และ Risk from Supplier's business

แม้จะช้าไปหน่อยแต่ก็เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ถูกต้อง คือ การลดการใช้วัตถุดิบหรือซัพพลายของค่ายซัมซุงที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญของตนเอง และหันไปจ้าง บริษัทโตชิบาคอร์ป บริษัทเอลพิด้าเมโมรีจากญี่ปุ่น และเอสเคไฮนิกซ์ จากเกาหลีใต้แทน....

โดยที่ผ่านมา แอปเปิ้ลเน้นแต่กลยุทธ์ด้าน "Blue Ocean"และใช้กลยุทธ์"Outsourcing"เป็นหลัก..โดยไม่รอบคอบและขาดการคำนึงถึง ความเสี่ยงจากซัพพลายเออร์และกลยุทธซัพพลายเชน...ทำให้ตนเองจ้างและใช้ชิ้น ส่วนสำคัญของ ไอโฟน ไอแพดและไอพอดจากซัมซุง ไม่ว่าจะเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ หน้าจอ เมโมรีชิพดีแรม (DRAM) และชิพความจำแบบแนนด์ (NAND)....
Apple vs sumsung
ที่มา พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล, https://www.facebook.com/Dr.Pongchai/posts/521851737830123

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

อย่าหวาดกลัวที่จะเผชิญกับความล้มเหลว

มีคำพูดหนึ่งที่นักลงทุนซึ่งหมดเงินเพราะการลงทุนล้มเหลว มักพูดให้ได้ยินกันคือ ถือว่าเป็นค่าบทเรียน แต่จริงๆ แล้วจะมีสักกี่คนที่เสียเงินไปแล้วได้ใช้ความผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียนจริงๆ เพราะน้อยคนนักที่คิดจะเริ่มเรียนรู้จากความผิดพลาด
ทำไมเราถึงไม่ทำทั้งๆ ที่เรารู้ว่าควรจะเริ่มเรียนรู้จากความผิดพลาดไปก่อน ก็เพราะคนเราไม่ชอบที่จะจดจำความผิดพลาดและหวาดกลัวที่จะให้ผู้อื่นรู้ถึงความล้มเหลวของตัวเอง
ไม่มีคนไหนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนที่ผมได้เจอมา จะไม่เคยพบกับความล้มเหลวมาก่อน ล้วนแต่พบความล้มเหลวมาก่อนที่จะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้กันมาแล้วทั้งนั้น ในโลกของการลงทุน ใบนี้เท่าที่มีการบันทึกไว้นั้นอาจมีคนถึง 50% ที่ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่มีความจริงที่สำคัญอย่าหนึ่งคือ ไม่มีใครประสบความสำเร็จหรือเป็นผู้เชียวชาญมาตั้งแต่เริ่มทั้งหมดล้วนแต่สำเร็จได้มาจาการเรียนรู้จากความล้มเหลวกันทั้งนั้น
คุณเคยมีประสบการณ์ความล้มเหลวจากการลงทุนบ้างหรือไม่ แล้วเคยมานั่งทบทวนวิเคราะห์ดูหรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะลงทุนทั้งๆที่มีหนี้สินพะรุงพะรัง หรือเพราะไม่มีความรู้ หรือเพราะแรงเชียร์จากคนรอบข้าง

  • หากเพราะความรู้ไม่พอก็เร่งสะสมความรู้ 
  • หรือหากคนรอบข้างไม่ได้ช่วยอะไรเลยได้แต่เชียร์อย่างเดียว จงเร่งหากคนที่เขาสามารถช่วยเหลือเป็นเส้นเป็นสายได้
  • หรือถ้าไม่มีเมล็ดเงินมาลงทุนเลย่จนต้องไปกู้เงินเขามาลงทุนก็ควรรีบเร่งหาหนท่งเพราะเมล็ดเงินเข้าไว้
คุณอาจจะยังไม่รู้ แต่จากประสบการณ์ในการลงทุนที่ล้มเหลวต่างๆ ที่คุณประสบมามีหลายๆ คำตอบให้คุณได้ค้นหา ท่านมหาตมะ คานธี กล่าวไว้ว่า หากคุณไม่รวมเอาความเสรีที่จะทำผิดพลาดได้ ความเสรีนั้นก็ไม่ได้มีค่าอะไร บัดนี้ได้มาถึงจุที่สนุกพอแล้วกับความเสรีที่จะผิดพลาดได้ ที่เหลือต่อนี้ไปคือเวลาที่คุณจะต้องเดินไปอย่างรอบคอบสุขุม และอย่าอายใครที่จะเล่าถึงเรื่องผิดพลาดของตนเอง

ลี ซัง กอน, "คน(ไม่)ธรรมดาเขาหาเงินล้านได้อย่างไร"

ระหว่างที่ธุรกิจมีปัญหาเวลานั้นแม่งท้อชิบหาย ถ้าเราหัดคิดบวกไว้ มี"สติ"อยู่กับปัจจุบัน ปัญหามีก็แก้ไปแต่ความทุกข์มันไม่มาถึงใจครับ

วิธีคิดบวก

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สู้แล้วรวยจริงหรือ


บทความดีๆจากอ. เกษียร เตชะพีระ เรื่อง "ทฤษฎี "สู้แล้วรวย" ในการอธิบายความไม่เสมอภาคของคนในสังคม" หน้าfacebook เชิญอ่านโดยพลัน


ในทางสังคมศาสตร์ ทฤษฎีที่ใช้อธิบายความไม่เสมอภาค และ ชนชั้นในสังคม ใหญ่ ๆ มี ๓ ทฤษฎี ได้แก่
  1. ทฤษฎีคุณสมบัติของบุคคล (ทฤษฎี "สู้แล้วรวย")ซึ่งเห็นว่าความ รวย/จนหรือนัยหนึ่งระดับชีวิตความเป็นอยู่ทางวัตถุของคนเรานั้น ถูกกำหนดจากหรือแปรตาม คุณสมบัติของบุคคล (individual attributes) ที่ต่าง ๆ กันไป เช่น ขยัน, มัธยัสถ์, กล้าเสี่ยง, กล้าริเริ่มสร้างสรรค์ ฯลฯ ภาพชุดคำอธิบายด้านล่างก็มาจากฐานคิดตามทฤษฎีนี้ 
  2. ทฤษฎีการกักตุนโอกาสในตลาดของ Max Weber
  3. ทฤษฎีการขูดรีดและครอบงำในกระบวนการผลิตของ Karl Marx
ความแตกต่างสำคัญระหว่าง ทฤษฎี "สู้แล้วรวย" กับ ทฤษฎีของ Weber & Marx ก็คือทฤษฎีแรกผูกความรวย/จนเข้ากับปัจเจกบุคคล แบบตัวใครตัวมัน เรื่องใครเรื่องมัน ทุกคนมีโอกาสสำเร็จ/ล้มเหลวได้ขึ้นกับคน ๆ นั้นคนเดียว
คนจนกับรวยตามทฤษฎีคุณสมบัติของบุคคล

แต่ทฤษฎีของ Weber & Marx ผูกความรวย/จน หรือนัยหนึ่งความไม่เสมอภาคเข้ากับ positions (ฐานะตำแหน่ง) ทางเศรษฐกิจสังคมของคนในสังคมซึ่งถูกกำหนดจากสัมพันธภาพทางอำนาจและกฎหมายกติกาในสังคมนั้น ๆ

นั่นแปลว่าความรวย/จนจึงไม่ได้ขึ้นต่อคุณสมบัติของบุคคลคนหนึ่งเป็นหลัก ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์สู้แล้วรวยได้ในสนามแข่งที่ราบเรียบ, หากเสนอว่าสนามแข่งมันเอียงกระเท่เร่หรือเหลื่อมล้ำลดหลั่นแต่ต้น บางตำแหน่งฐานะในสังคมได้เปรียบ บางตำแหน่งฐานะในสังคมเสียเปรียบ บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งฐานะที่ได้เปรียบย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า ได้กันท่าตัดโอกาส/ขูดรีดครอบงำคนอื่นแต่ต้น พูดอีกอย่างคือสังคมไม่เสมอภาคเพราะมันเอียง แบ่งเป็นชนชั้น (ฐานะตำแหน่งในสังคมเศรษฐกิจนั่นเอง) บุคคลบางคนหากสังกัดชนชั้นเสียเปรียบ ถึงสู้เท่าไหร่ก็ไม่รวยหรือรวยยากมาก, แต่บางคนสังกัดชนชั้นได้เปรียบ ไม่สู้หรือสู้เบา ๆ ก็รวยแล้วจ้า
จนรวยตามทฤษฎ๊ของ Weber & Marx

ที่มา เกษียร เตชะพีระ, "ทฤษฎี "สู้แล้วรวย" ในการอธิบายความไม่เสมอภาคของคนในสังคม",online https://www.facebook.com/kasian.tejapira

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผู้ใช้ font ตระกูล PSL ระวังละเมิดลิขสิทธ์หลายหมื่นนะเธอว์

มีคนโพสในกระทู้ของเว็ป thaiseoboard [1] ว่า "มีจดหมายบริษัท PSL เจ้าของลิขสิทธิ์ฟอนต์ แจ้งเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ฟอนด์ที่ใช้ภายในเว็บไซต์ ทำอย่างไรดีครับ
เรียกเก็บมาแพงด้วย หลักแสนทีเดียว เว็บก็จ้างเค้าออกแบบด้วย ใครพอมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรดีครับ หรือมีอะไรแนะนำได้ครับ

ขอบคุณครับ"

ซักพักคุณสายลม เข้ามาตอบได้ชัดเจนมากกว่า

"ไม่ได้เข้าบอร์ดนานมากๆ ขอแจมหน่อย

ไม่พูดถึงรูปแบบธุรกิจของ PSL ละกันนะครับ


แต่หลายคนในนนี้ยังไม่เข้าใจและแยกไม่ออกว่า "โปรแกรมคอมพิวเตอร์ฟอนต์(ภาษาไทย)" กับ "ฟอนต์(ภาษาไทย)" ต่างกันยังไง

ยกตัวอย่างนะครับ

A B C D .... อันนี้คือ ฟอนต์ ครับ

ส่วน "โปรแกรมคอมพิวเตอร์ฟอนต์" คือโปรแกรมหรือไฟล์ที่ใช้แสดงผลฟอนต์นั้นๆออกมาครับ เช่น คอมพิวเตอร์เครื่องไหนจะแสดงฟอนต์ Tahoma ได้ ในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะต้องมี ไฟล์ นี้ครับ

Control Panal >> All Control Panal Items >> Fonts >> tahoma.ttf

ซึ่งไฟล์ตัวนี้แหละครับ ที่มันมีลิขสิทธิ์ เพราะกว่าจะได้ไฟล์นี้มาต้องเขียนโค้ดมากมายครับ ตรงนี้เป็นอันเข้าใจว่า "โปรแกรมคอมพิวเตอร์ฟอนต์" มีลิขสิทธิ์แน่นอน

ส่วนเรื่องลิงขสิทธิ์ตัวฟอนต์ อันนี้ เป็นลิขสิทธิ์เดียวกับงานศิลปะครับ เช่น ผมไปภูเก็ต แล้วไปถ่ายภาพหาดป่าตองมา ภาพนั้นก็ต้องเป็นลิขสิทธิ์ของผมครับ   ผมอ้างความเป็นเจ้าของสิทธิ์ภาพครับ ไม่ได้เป็นอ้างว่าเป็นเจ้าของหาด เช่นเดียวกับ เจ้าของฟอนต์ครับเค้าอ้างสิทธิ์ในฟอนต์ครับ ไม่ใช่ภาษาไทย มันคนละกรณีกันเลย


และ 100% ที่เอาฟอนต์คนอื่นมาใช้งาน ก็ไม่ได้เกิดจากการเขียนขึ้นมาเองแล้วมันบังเอิญเหมือนครับ แต่เกิดจากการจงใจไป Copy ไฟล์ฟอนต์นั้นๆมาใช้เลยครับ (เช่น ไฟล์ tahoma.tff) ก็เหมือน คุณไปขโมยตรายางรูป ก ไก่ มาปั๊มลงในกระดาษแหละครับ เจ้าของเค้าไม่ได้ อ้างว่าเป้นเจ้าของ ก ไก่ครับ แต่เค้าเป็นเจ้าของตรายางอันนั้น"

แล้ว font ตระกูล PSL อยู่ใหน
ส่วนใหญ่จะใช้กับโปรแกรม adobe ทั้งหลายเพราะสมัยก่อนมันไม่ค่อยรองรับภาษาไทยก็ต้องใช้ font ตะกูลนี้แหละเวลาทำ graphic ภาษาไทย หาโหลดได้ทั่วไปใน net (นึกว่าเป็นของฟรีจนกระทั้งเห็นกระทู้นี้แหละ) แต่สมัยนี้ดีหน่อยเพราะมีคนไทยเข้าไปอยู่ในทีมพัฒนาโปรแกรมของ adobe ด้วยทำให้สามารถพิมพ์ไทยได้เลยโดยใช้ font ที่ไป

ที่มา
[1]http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,285774.0.html

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การบริหารเงินสำหรับคนเงินเดือน 15,000 บาท

คนเราจะเป็นถ้าแก่ได้ก็ต้องเริ่มจากเงินออมเล็กๆน้อยๆนี่แหละครับ แล้วก็ลงทุนเล็กๆขยายกิจการไปเรื่อย แต่ก็อย่างว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ จุดเริ่มต้นอาจจะสู้ลูกคนมีกระตังค์ไม่ได้ แต่พ่อแม่ก็ยังทนส่งเราเรียนจนจบปริญญาตรีจนได้หวังว่าจะมีการมีงานทำไม่ลำบากเหมือนรุ่นตัวเอง ถ้าโชคดีคุณอาจได้เริ่มต้นที่เงินเดือน 15,000 บาท ต่อไปขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของคุณแล้วว่าจะทำให้เงินคุณงอกเงยได้อย่างไร
คนเราจุดเริ่มต้นไม่เท่ากัน

เงินเดือนเท่านี้ทำไงให้พอกิน?

คุณ siwat [1] เขียนเรื่องการบริหารเงินสำหรับคนเงินเดือน 15,000 บาท อย่างไรให้อยู่รอดและมีเงินเก็บ เขาบอกว่ากฎข้อแรกก็คือ

ไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นหนี้ และไม่เป็นหนี้

siwat เขาว่า "คนเงินเดือน 15,000 เพิ่งเริ่มทำงาน ถ้าตั้งหลักกับการทำงานได้ดี ไม่ต้องวอกแวกเรื่องอื่น แต่ใช้สมาธิกับงาน ดูว่าเราชอบงานหรือเปล่า ความถนัดเราตรงกับงานที่ทำไหม ถ้าตั้งลำได้แล้ว ฝึกฝนพัฒนาทักษะ ให้ทำงานได้เก่ง ได้เร็ว ได้ครบถ้วน เราจะได้ขยับขึ้นไปในกลุ่มเงินเดือนที่สูงกว่าได้เร็วครับ พอเงินเดือนสูงขึ้นอีกหน่อย เราก็มีเงินใช้จ่ายได้มากขึ้นเอง อย่าไปเสียสมาธิเพราะหนี้ที่เราก่อ"

พอทำงานสบายใจแล้วมาดูกันว่าทำงานอย่างไรให้มีเงินเหลือเก็บเอาไปลงทุนต่อยอดความมั่งคั่งได้
การจัดสรรเงินของคนเงินเดือน 15,000


  1. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ – ถ้าบริษัทของเรามี ผมแนะนำให้ทุกๆคน เลือกให้เขาหักสูงสุดครับ อาจจะ 3% หรือ 5% ก็สุดแท้แต่ สิ่งที่สำคัญคือ เขาหักไป บริษัทจะสมทบให้อีกเท่ากัน เช่นหักไป 3% หรือ 450 บาท บริษัทจะสมทบให้อีก 450 บาท แต่ถ้าให้หัก 5% 750 บาท เราก็ได้อีก 750 บาท เพราะฉะนั้น ยิ่งให้หักมาก เรายิ่งได้เงินมากครับ ส่วนนี้เป็นส่วนเงินออมแรกเลยที่ควรให้หักไปครับ นอกจากได้สมทบเยอะ ยังช่วยเราออมเงินได้อีกด้วย ส่วนประกันสังคม ไม่ต้องพูดถึง เพราะโดนหักอยู่แล้วอัตโนมัติ
  2. เงินออม / ให้พ่อแม่ – คนที่ต้องให้พ่อแม่ ส่วนใหญ่จะหักให้ไปก่อนอยู่แล้ว แต่เจ้าเงินออมเนี่ยสิครับ หลายๆ คน เอาไว้ทีหลัง คือมีเหลือเท่าไรค่อยเก็บ ซึ่งผมบอกได้เลยว่า มันจะไม่เหลือ … เพราะฉะนั้นถ้าอยากออมเงินจริง เงินเดือนออกปุ๊บให้รีบหยอดกระปุกเลยครับ แนะนำให้หาบัญชีฝากประจำ แบบสะสมเท่ากันทุกเดือน จะได้ดอกเบี้ยสูงหน่อยด้วยครับ (ผมยังไม่แนะนำการลงทุนอื่นๆในขั้นนี้ เพราะเงินมันยังน้อยอยู่ครับ ลงทุนไปก็ปวดหัวต้องมาคอยเป็นห่วงว่าเงินลงทุนไปถึงไหนแล้ว เสียสมาธิกับการทำงานอีก)
  3. ค่าใช้จ่ายประจำ – ตรงนี้ล่ะครับ บอกได้เลยว่าคน กทม. ที่อยู่กับครอบครัว กับคน ตจว. ที่มาเช่าห้องอยู่ ค่าใช้จ่ายต่างกันฟ้ากับเหวครับ คนอยู่หอ เดือนหนึ่งโดนประมาณ 5,000 แน่ๆ ค่าใช้จ่ายนี้ ถ้าลดได้ ผมแนะนำให้ลด เช่น ค่าหอ ให้หา รูมเมทมาแชร์ คิดง่ายๆ ค่าหอ 4,000 ถ้าได้รูมเมทมาแชร์ครึ่งหนึ่ง เราจะมีเงินไว้เก็บ หรือไว้ใช้อีก 2,000 ต่อเดือนแน่ะ ทีนี้ถ้าใครบอกไม่เอาชอบความเป็นส่วนตัว ก็ให้ลองคิดดูว่า ค่าความเป็นส่วนตัว คุ้มกับ 2,000 ต่อเดือนหรือเปล่า ส่วนค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ 1,500 คงไม่ต้องบอก ประหยัดได้ก็ประหยัด มันก็จะลดลงไปเองครับ ส่วนค่าเดินทาง ผมเอามาอยู่หมวดเดียวกัน เพราะผมว่าตรงนี้ มันควรคิดคำนวณด้วยกันเป็นภาพรวมครับ เช่น ถ้าเรายอมจ่ายค่าหอแพงหน่อย เพื่อให้อยู่ใกล้ที่ทำงานขึ้น ประหยัดค่าเดินทาง สุทธิแล้ว ค่าใช้จ่ายเท่าๆ กัน แน่นอนเราอยู่ใกล้ที่ทำงานย่อมดีกว่าครับ นี่ยังไม่รวม เวลาเดินทางที่จะใช้น้อยลง ซึ่งจะช่วยลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มพลังในการทำงานอีกนะครับ ความเห็นผม อยู่ใกล้ที่ทำงาน ถ้ารวมค่าเดินทางกับค่าหอแล้วต่างกันไม่มาก อยู่ใกล้ดีกว่าครับ มีเวลา สมาธิ ในการทำงาน หรือแม้กระทั่งจะเอาเวลาว่างมาหารายได้เสริมได้อีกด้วย สำหรับคนที่ไม่ต้องจ่ายค่าหอ ผมขอให้มองเพื่อนๆ ที่มีภาระค่าหอครับ ถ้าเขาอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ เงินส่วนต่างตั้ง 4,000 บาทนั้น ผมแนะนำให้ออมมากขึ้นสัก 1,000-2,000 ต่อมาดูว่ามีวิธีไหนไหมที่จ่ายค่าเดินทางมากขึ้นอีกหน่อย แต่ประหยัดเวลาเดินทางได้ เช่น เปลี่ยนจาก รถเมล์เป็นรถไฟฟ้า หรือพี่วินฯ เก็บพลังงานเราไว้ใช้ในการทำงานครับ สุดท้ายที่เหลือก็เอาไปกิน เที่ยวตามใจชอบครับ
  4. ค่าข้าว ค่าน้ำ – รวมอยู่ด้วยกันครับ คำแนะนำคือ พยายามควบคุมค่าใช้จ่ายรายวันนี้ให้อยู่ในงบ พึงระลึกไว้ว่า เงินที่เหลือถัดไปจากก้อนนี้ คือ งบ shopping และเที่ยวแล้วครับ ถ้าประหยัดตรงนี้ได้ จะมีเงินเหลือให้ช้อป กินดื่มได้มากขึ้น สำหรับคนเงินเดือนเริ่มต้น ผมแนะนำให้ห่างไกลสิ่งเหล่านี้ครับ
    • กาแฟ ชานมไข่มุก แก้วละ 40 บาท ถึง 140 บาท ไว้รวยแล้วค่อยกินครับ กินกาแฟฟรีใน office ไปก่อน ถ้าเรากินกาแฟแก้วละ 50 ทุกวัน 20 วันต่อเดือน จะเป็นเงิน 1,000 บาทครับ มีค่าเท่ากับ ปาร์ตี้มันส์ๆ 1 ครั้ง บวกกับเสื้อผ้า แพลตตินัม 2 ชิ้นขึ้นไป อีกตัวเลือกหนึ่งที่ใช้แก้ง่วง แทนกาแฟ ได้ ผมแนะนำ หมากฝรั่งครับ 1 กล่อง 10 บาท มี 9 เม็ด กินได้ 2 วัน เฉลี่ยวันละ 5 บาท แก้ง่วงได้ แถมยังเพิ่มออกซิเจนให้สมองด้วยครับ
    • บุหรี่ ทั้งทำร้ายสุขภาพและกระเป๋าสตางค์
    • อาหารกลางวันมื้อแพงๆ ถ้าไปกินกับพี่ๆ ที่ทำงาน ให้พี่ๆ มันจ่ายไปครับ ถ้าพี่ไม่เลี้ยง วันหลังไม่ต้องไปกิน เราเงินเดือน 15,000 พี่เงินเดือน 50,000 การใช้ชีวิตไม่เหมือนกันอยู่แล้ว จะให้ไปกินแพงๆ มื้อละ 100-200 ขึ้นไป พี่ต้องเลี้ยง!
ลดใช้ของฟุ่มเฟื่อยก็รวยได้

สุดท้ายคือเงินเหลือ เที่ยว shopping – เคล็ดลับของเรื่องนี้ คืออย่างนี้ครับ

คนทั่วไป มักจะเที่ยว shopping ตอนต้นเดือน ทันทีที่เงินเดือนออก แล้วพอปลายเดือนค่อยกินแกลบผมแนะนำกลับกัน เงินเดือนออกปั๊บ ออมก่อน ใช้จ่ายประจำก่อน แล้วเหลือเท่าไหร่ ตอนปลายเดือน ค่อยเที่ยว ค่อย shop เท่านั้น

สมมติเงินเดือนออกวันที่ 31 แทนที่จะ shop วันที่ 31, 1, 2, 3 เราหันมา shop วันที่ 30 แทนดีกว่าครับ ใช้ให้มันหมดไปเลยก็ได้ เพราะวันรุ่งขึ้นเงินใหม่จะมาแล้ว เป็นวัยรุ่นมันต้องเที่ยวต้อง shop บ้าง อย่าไปฝืน อย่าไปทำให้ชีวิตมันลำบากยากแค้นมากนัก หาความสุขความสบายใส่ตัวบ้าง เพื่อให้เราไม่รู้สึกกดดันกับชีวิตและการเงิน และเราจะมีสมาธิกับการทำงานได้อย่างเต็มที่ครับ

สุดท้าย ดูจากตาราง เราจะเห็นได้ว่า เฮ้ย จำนวนวันในแต่ละเดือนมีความสำคัญนะ เห็นอย่างนี้เราคงรักเดือน กุมภาฯ เพิ่มขึ้นอีก และเราคงรักเดือนที่มี 30 วันมากกว่า เดือนที่มี 31 วัน มากขึ้นอีกหน่อย

เริ่มมีเงินแล้วอยากไรอยากได้รถขับอะทำไงดี?

สำหรับคนที่เงินเดือน 15,000 ผมว่าอย่าพึ่งออกรถเลยครับเพราะค่าใช้จ่ายมันเยอะกว่าที่คุณคิดอาจได้ติดหนี้หัวโตได้  มาดูตารางกันครับขนาดคนเงินเดือน 20,000 บาทจะซื้อรถยังหมุนเงินหัวแทบแตก
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการมีรถ 1 คัน
นอกจากเสียค่าใช้จ่ายมากมายแล้วยังทำให้เราเสียโอกาสในการลงทุนอีกด้วย จาก page TIF [2] ครับเขาสมมติว่ามีเงินเริ่มต้น 1,000,000 บาท กับทางเลือกหลายๆทางทั้ง ซื้อเงินสด ผ่อนมันเข้าไป กู้เงินกับซื้อรถ และทางเลือกสุดท้ายคือไม่ซื้อรถเอามาลงทุนเพียวๆ


โอเคไม่ซื้อรถก็ได้ เงินลงทุนปีละหมือนกว่าบาทเมื่อไหร่จะรวย


แนวทางการ "เริ่ม" สะสมความมั่งคั่งของคนที่ยังมีเงินไม่มากต้องท่องไว้ในใจ 2 ข้อครับ [2]
  1. ศึกษาหาความรู้ด้านการเงินการลงทุนให้มากเข้าไว้ มองให้กว้าง หาวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างกำไร ซึ่งอาจไม่ใช่แค่กราฟและหน้าจอเทรด
  2.  เน้นการออมเงินเดือนมาเติมพอร์ตลงทุน มากกว่าการเพิ่มความเสี่ยงเพื่อหากำไร
ก็อกน้ำแห่งความมั่งคั่ง
ถ้าทำข้อ 1 ได้ - เราก็จะเห็นภาพกว้างขึ้นเรื่อยๆ ว่าในโลกนี้มีอะไรทำเงินให้เราได้บ้าง และเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าอะไรคือโอกาส อะไรคือความเสี่ยง อะไรควรรอ อะไรควรรีบ ที่สอนการลงทุนก็มีหลายที่ครับอย่างที่ http://www.investidea.in.th/p/value-investor.html เขาสอนวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานแบบ VI เป็นการลงทุนระยะยาว ก็สอนดีอยู่

ถ้าทำข้อ 2 ได้ - เราก็จะมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างเร็วมาก โดยไม่ต้องแบกความเสี่ยงใดๆ เลย

นอกจากนี้บนโลกนี้มีสิ่งมหัศจรรอยู่อย่างหนึ่งก็คือ "ดอกเบี้ยทบต้น" มีคนคำนวณว่า ถ้าเก็บเงินปีละ 14,000 บาทแล้วลงทุนได้ 20% ต่อปี ทบไปทบมาจะมีเงินเท่าไร [3]
  • ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท
  • ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
  • ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท
  • ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
  • ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท
  • ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
  • ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท
  • ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
จะเห็นว่าการทำเงินหนึ่งล้านบาทในปีหลังๆใช้เวลาน้อยกว่าการหาเงินหนึ่ง ล้านบาทแรกมาก นักลงทุนต้องเข้าใจว่าการสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ดังนั้นภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล ต้องคิดว่านี่เป็นการ “วิ่งมาราธอน” ไม่ใช่ “วิ่งร้อยเมตร” สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว

แต่ทำผลตอบแทน 20% ต่อปีอาจยากไป ถ้าลองลดเป็น 10% ต่อปีอาจไม่ยากเกินไป ใช้ตารางนี้เอาครับตัด 0 ไปตัวนึง

ลงทุนเดือนละหมื่น ผลตอบแทน 10% ต่อปี
ขอให้สนุกกับการบริหารเงินครับ

ที่มา
[1]http://www.siwat.com/?p=861
[2]https://www.facebook.com/ThInvestForum
[3]วิบูลย์ พึงประเสริฐ, ลงทุนปีละหมื่นเป็น’เศรษฐีร้อยล้านได้,  บทความ Value Way  ฉบับวันที่ 9 กรกฏาคม 2555 

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปริมาณน้ำตาลในชาเขียวภัยเงียบที่ไม่รู้ตัว

คนไทยชอบกินหวานครับ ถ้าพ่อค้าแม่ค้าอยากขายได้ก็ต้องทำอาหารไม่ออกรสหวานหน่อยก็ขายไม่ออก เท่ากับอาหารทุกมื้อที่เรากินมีน้ำตาลเยอะโดยไม่รู้ตัว ข้อมูลจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข [1] เผยว่า คนไทยติดน้ำตาล มีการบริโภคน้ำตาลเกินกว่ามาตรฐานกำหนดถึง 3 เท่า

ข้อมูลจาก page "รอบหน้าจริงกว่านี้อีก" [2]  นำข้อมูลปริมาณน้ำตาลของชาเขียวยี่ห้อ 1 มาแสดงให้เห็นว่าให้พลังงานเที่ยบเท่าข้าวกี่ทัพพี (น้ำตาล 1g = คาร์โบไฮเดรตเพียวๆ ให้พลังงาน = 4 kcal, ข้าวสุก 1 ทัพพี = 80 kcal) เห็นแล้วเยอะใช่เล่น

คนเราต้องการใช้พลังงานวันนึง 2000 kcal ดังนั้นเวลากินครั้งต่่อไปก็จะได้เอาไปคำนวนได้ว่าทั้งหมดทที่กินเข้าไป ได้ัพลังงานเกิน 2000 kcal หรือยัง





ข้อมูลว่าทำไม ข้าวสุก 1 ทัพพี = 80 kcal

  • 1 g คาร์โบไฮเดรท ให้พลังงาน 4 kcal
  • 1 g โปรตีน ให้พลังงาน 4 kcal
  • 1 g ไขมัน ให้พลังงาน 9 kcal
  • น้ำและสารอาหารอื่นๆ เป็นสารไม่ให้พลังงาน
  • 1 g แอลกอฮอล์ ให้พลังงาน 4 kcal แต่ไม่จัดเป็นสารอาหาร เพราะเป็นพิษต่อร่างกาย
ข้าวสุก 1 ทัพพี (60 g) ประกอบด้วย
  • คาร์โบไฮเดรท 15 g = 60 kcal
  • โปรตีน 3 g = 12 kcal
  • ไขมัน ไม่ถึง 1g = ประมาณ 8 kcal
  • ที่เหลืออีก 41 g เป็น" น้ำ"และ"สารอาหาร"ที่ไม่ให้พลังงาน
ดังนั้น ข้าวสุก 1 ทัพพี = 80 kcal
  • น้ำตาล 1g = คาร์โบไฮเดรตเพียวๆ 1g = 4 kcal เลย
ดัังนั้น มีน้ำตาลกี่gก็จับคูณ 4 kcal ได้เลย


ที่มา
[1] http://women.thaiza.com/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5/181094/
[2]https://www.facebook.com/truthnextround

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การตลาดแบบตันอิชิตัน

กระผมต้องขอขมาแฟนคลับ"คุณตัน-อิชิตัน"ด้วยนะครับ แต่การกระทำของเขาถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีของการตลาดที่สร้างกระแสและการรับรู้ ตอกย้ำ อารมณ์ร่วมใน brand ได้เยี่ยมมาก และเป็นการตลาดที่ต้นทุนต่ำเหมาะกับ SME's ยิ่งนัก

  • คุณตันแค่ไปถอนเงินสดออกมา 10 ล้าน
  • คุณตันแค่เอาเงินสดมาตั้งโชว์
  • คุณตันแค่ไปหานวมนักมวยมาวางไว้ประกอบฉาก
  • คุณตันแค่ไปหาหมวก "กัปตัน" ที่ถ่ายโฆษณาบ่อยๆมาใส่
  • คุณตันแค่ถ่ายรูปตัวเองคู่กับกองเงิน 10 ล้าน
  • คุณตันแค่เอารูปที่ถ่ายมาลงในแฟนเพจที่มีคนติดตาม 1.5 ล้านคน
  • คุณตันแค่โผล่มาตอนเขาจะต่อยนัดสุดท้าย
  • คุณตันแค่บอกว่าจะหอบเงินสิบล้านไปให้เขาที่สุวรรณภูมิ ซึ่งแน่นอนว่ามีกล้องทีวีเยอะมาก
.
รูปเงินสดสิบล้าน
ผลออกมามวยแพ้ไม่เป็นไร แต่ต่อยได้ใจเราให้เต็ม คนก็แชร์กันเต็มๆเหมือนกัน

กระแสส่งต่อใน facebook
ขอให้ความใจป้ำครั้งนี้ประสบความสำเร็จ คนนิยมชมชอบ brand อิชิตันเยอะๆ นะครับ ผมก็คนนึงแหละติด brand มาตั้งแต่น้ำท่วม

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

VDO สอนวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน

ธนเดช มหโภไคย ที่ปรึกษาสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ให้มุมมองเรื่อง "ความสำคัญของอัตราส่วนทางการเงิน" ไว้ในรายการ Smart Money ดังนี้

ความสำคัญของอัตราส่วนทางการเงิน


การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน งบการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ถ้าจะเอาเพียงตัวเลขมามันไม่นิ่ง และกิจการที่มีความแตกต่างกันก็ดูยาก// ควรย่อยตัวเลขในงบให้เป็นมาตรฐานกลางเพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ

การวัดมี 3 แบบ (เปอร์เซ็นต์, สัดส่วน, ดัชนี) แต่ที่นิยมและมีประสิทธิภาพคืออัตราส่วนทางการเงิน

แนวคิดของอัตราส่วนทางการเงินคือวิธีการวิเคราะห์เปรียบเทียบ


ประโยชน์วิเคราะห์งบด้วยอัตราส่วน


ประโยชน์ของการวิเคราะห์งบด้วยอัตราส่วนคือปรับตัวเลขในงบการเงินให้เป็นค่ามาตรฐานเ
เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ งวดนี้-งวดก่อน, ปีนี้-ปีก่อน เป็นการหาพัฒนาการของกิจการว่ามีอะไรดีขึ้น และหา The Winner ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน

อัตราส่วนทางการเงินชุดแรกที่มีความสำคัญมากที่สุดและนักลงทุนส่วนใหญ่อยากดูคือ
  1. อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรและสร้างผลตอบแทน (Profitability ratios) 
  2. อัตราส่วนความสามารถในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ (Activity ratios)
  3. อัตราส่วนความสามารถในการก่อหนี้ (Leverage ratios)  
  4. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity ratios)
  5. Dupont System


ชุดที่ 1: อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรและสร้างผลตอบแทน


ชุดนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือกำไร+ผลตอบแทน// อัตราส่วนกำไร (ดูประสิทธิภาพภายในกิจการ คือ อัตราส่วนกำไรขั้นต้น+อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน

แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบดู อัตราส่วนกำไรสุทธิ เพราะเชื่อว่าบอกความเก่งความสามารถ แต่อ.ธนเดชมองว่าดูไม่ได้ชัดเจนนัก เป็นเพียงกำไรจากกิจการที่เหลืออยู่ น้ำหนักน้อยกว่ากำไรจากการดำเนินงาน)



อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรเป็นตัวดูว่าค้าขายอย่างไร// ในฐานะนักลงทุนควรดูว่าเงินลงทุนของบริษัทเอาไปใช้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน

อีกตัวหนึ่งที่เราจะมาพูดคุยกันต่อก็คือ อัตราผลตอบแทน (อัตราผลตอบแทนจากการใช้สินทรัพย์ ดูว่าสร้างรายได้, กำไร, ผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหน...บางคนเรียกว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งควรให้น้ำหนักสูงในการประเมินบริษัท และผลตอบแทนควรมากกว่าต้นทุนการกู้ 2% ขึ้นไป

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สำคัญมากที่สุดในมุมมองของผู้ถือหุ้น โดยดูว่าจากเงินลงทุนที่ผู้ถือหุ้นลงทุนในแต่ละปี ผู้บริหารสร้างผลตอบแทนให้มากน้อยแค่ไหน ยิ่งสูง-ยิ่งดี...out perform 30%, ดี 20%, พอใช้ 15%)

ชุดที่ 2: อัตราส่วนความสามารถในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์


อัตราส่วนทางการเงินหลายชุดก็เปรียบเสมือนการดูหนังที่มีพระเอก (อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรและสร้างผลตอบแทน), พระรอง, ผู้ร้าย และตัวประกอบ (อัตราส่วนความสามารถในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์) สำหรับคู่ที่ 1 ใช้ดูว่าสามารถใช้ประโยชน์สินทรัพย์ที่ลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน (ดี-ไม่ดี) เพราะถ้าดี กำไรและผลตอบแทนย่อมดีด้วย

อัตราการหมุนของลูกหนี้การค้า ยิ่งสูง-ยิ่งดี// ระยะเวลาเรียกเก็บหนี้ (ดูประกอบกัน) โดยธุรกิจทั่วไปมักมีปัญหาเกี่ยวกับการเก็บหนี้กับลูกหนี้การค้าบ่อยที่สุด ซึ่งอัตราส่วนคู่นี้เป็นตัววัดเฉพาะ


คู่ที่ 2 อัตราการหมุนของสินค้าคงเหลือ (ใช้ต้นทุนขายไม่ใช่ยอดขาย เพราะยอดขายคือต้นทุน+กำไร ซึ่งสินค้าคงเหลือคือต้นทุน)

ระยะ เวลาเก็บรักษาสินค้าคงเหลือ (สะท้อนว่าตามเกณฑ์แล้วธุรกิจควรมีเก็บ Stock ไว้นานเท่าไหร่) โดยส่วนนี้ธุรกิจทั่วไปมักมีปัญหาเช่นกัน ซึ่งคู่นี้จะสะท้อนปัญหาที่ถูกแฝงไว้ เช่นถ้าลูกหนี้เพิ่มขึ้นแล้วการสำรองหนี้ต้องเพิ่มขึ้น และในอนาคตต้องเก็บมากขึ้น ทำให้สินค้าด้อยค่าเพิ่มขึ้น



อัตราการหมุนของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (คือสินทรัพย์ที่ธุรกิจใช้ดำเนินงาน สร้างรายได้หรือยอดขายได้เท่าไหร่ สูงดีกว่าต่ำ)// อัตราการหมุนของสินทรัพย์รวม (คือภาพรวมใหญ่ ดูว่าสินทรัพย์ก่อให้เกิดยอดขาย, รายได้ มากน้อยแค่ไหน ต้องสูงกว่า 1 ยิ่งมากยิ่งดี)

ชุดที่ 3: อัตราส่วนเกี่ยวกับภาระหนี้

ในแง่ของการลงทุน เราต้องผูกพันกับกิจการนี้ในระยะยาวพอสมควร เพราะฉะนั้นความมั่นคงของกิจการต้องมี กู้มากไปก็ไม่ดี-ไม่กู้เลยก็ไม่ดี

อัตรา ส่วนแห่งหนี้ (วัดว่ากิจการที่ลงทุนนั้น สินทรัพย์ทั้งหมดก่อหนี้มาก-น้อยอย่างไร โดยวัดจากเจ้าหนี้...หากทำกำไรได้เยอะแต่ก่อหนี้เยอะก็ไม่ใช่-ยิ่งถ้าทำกำไร ได้น้อยแ
­ล้วกู้เยอะยิ่งเสี่ยง)

อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ดูสัดส่วนการใช้เงินระหว่างเจ้าของกับเจ้าหนี้)


อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (อธิบายความสามารถในการทำกำไรจากยอดขายว่าเป็นกี่เท่าของดอกเบี้ยที่ต้อง จ่าย ถ้าทำได้เยอะก็สบาย แสดงว่ามีศักยภาพในการจ่ายดอกเบี้ยแน่นอน แต่ก็ไม่ควรมีมากเกินไป ทั้งนี้มีเกณฑ์ว่าขั้นต่ำไม่ควรน้อยกว่า 3 จะตั้งไว้ 4-5 เท่าก็ได้เพื่อรับความผันผวน)

ชุดที่ 4: อัตราส่วนสภาพคล่อง

เนื่องจากการค้าขายมีความไม่แน่นอนดังนั้นเราต้องมีการประเมินสภาพคล่องด้วย เพื่อสะท้อนความสามารถในการจ่ายหนี้ และดูรายจ่ายปกติ

อัตราส่วน เงินทุนหมุนเวียน สะท้อนว่าถ้าธุรกิจการค้าสะดุด จะมีปัญหาการจ่ายหนี้ระยะสั้นหรือไม่ถ้า มากกว่า1 (พอรับได้), 1.5 (ค่าเหมาะสม), แต่ก็ไม่ควรมากเกินไป เพราะสะท้อนว่ามีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อรายได้แอบแฝง

อัตราส่วนสินทรัพย์ คล่องตัว อ.ธนเดช มองว่าไม่ใช่ทุกรายการที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดเท่ากัน แต่สินค้าเปลี่ยนเป็นสภาพคล่องได้เร็ว ซึ่งดอัตราส่วนนี้ละทิ้งไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในภาวะที่มีความไม่แน่นอน

ชุดที่ 5: Dupont System 

 ROE สูตรเดิมไม่มีมิติมุมมองเชิงลึก เพราะฉะนั้นถ้าต้องการมองเชิงลึกสามารถแตกรายละเอียดได้ โดยแยก ROE เป็นส่วนๆ เพื่อวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อสะท้อนว่า ROE ที่ขึ้นและลง เกิดจากส่วนไหน และทำให้สามารถ forecast ต่อได้ว่าอนาคตข้างหน้า ROE จะเป็นอย่างไร






เมื่อนำอัตราส่วนทั้งหมด มายำเป็นรูปเดียวสรุปได้ว่า
สรุปอัตราส่วนทางการเงิน

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Balance Score Card คืออะไร

เครื่องมือ ที่เพิ่งได้รับการยอมรับแพร่หลายเมื่อราว 10 กว่าปีมานี้ ดูความสมดุลย์ทั้งภายในกิจการและนอกกิจการ แล้วให้คะแนนวัดผล แล้วนำมาเขียนเป็นแผนที่ยุทธศาสตร์เพื่อการแข่งขันได้ จึงเรียกว่า Balance Score Card ขนาดเรื่องของ "คน" เมื่อก่อนแทบจะมองเป็นเครื่องจักร ถึงขั้นมีการแนะนำว่า อยากรุ่ง ต้องรู้จักเรียนรู้ "อูฐ หมา ปลา ควาย" เป็นอย่างไร เครื่องมือนี้ก็ดูด้วย ในฐานะกลไกที่ช่วยผลักดันกิจการ โดยอยู่ในส่วนของ L&G (learning & Growth)

 หลักการทั่วไป


แต่ละด้าน ต้องวัด มีน้ำหนัก ให้คะแนนผลการวัด มีการทบทวนปรับปรุงแก้ไข ที่เป็น Subjective คือเชิงปริมาณ พยายามวัดให้เป็นเชิงตัวเลข เหมือนเราให้คะแนนความดีความงาม จะช่วยให้มองภาพ และเปรียบเทียบ "พื้นฐานกิจการ" ได้ดีขึ้น
 ที่บอกว่า "นำมาเขียนเป็นแผนที่ยุทธศาสตร์เพื่อการแข่งขันได้" จะได้ไม่เพ้อฝัน
ตัวอย่างทั่วไป
ตัวอย่างลึกไปอีกหน่อย

อีกซักตัวอย่าง

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทำธุรกิจต้องรู้จักจุดคุ้มทุน

ทำธุรกิจต้องรู้จัก"จุดคุ้มทุน" ครับไม่รู้จักตายแน่นอน สูตรก็ง่ายๆ

จุดคุ้มทุน = ต้นทุนคงที่ / (ราคาขายต่อหน่วย - ต้นทุนแปรผันต่อหน่วย) .......(1)

โดยที่
ต้นทุนคงที่ (fixed cost) คือค่าใช้จ่ายที่คงที่ไม่แปรไปตามยอดขาย ถึงปิดร้านค่าใช้จ่ายตัวนี้ก็วิ่งทุกวัน เช่นค่าเช่าที่เขาคิดเป็นรายเดือน วันไหนเราขี้เกียจทำปิดร้านไปเที่ยวแต่ค่าเช่าไม่หยุดครับ

ต้นทุนแปรผัน (variable cost) คือต้นทุนก็วิ่งตามยอดขาย

ตัวอย่าง
นาง "ก" เอาเงินเก็บทั้งชีวิตเปิดร้านกาแฟเล็กๆนั่งชิวๆ แต่งร้านเก๋ๆ หมดเงินไป 400,000 บาท สมมติเดือนๆนึ่งมีค่าใช้จ่ายคงที่ดังนี้
  • ค่าเช่าที่          15,000 บาท/เดือน
  • ค่าจ้างพนักงาน 9,000 บาท/เดือน
  • ค่าน้ำ ค่าไฟ     2,000 บาท/เดือน
  • ค่าใช้จ่ายส่วนตัว (ค่าเดินทางมาทร้าน ค่ากิน ค่า....ฯลฯ) 9,000/เดือน
  • รวม 35,000 บาท
แถวร้านมีคู่แข่งเยอะตั้งราคาขายแก้วละ 45 บาท
และต้นทุนผันแปร (กาแฟ, นม,น้ำแข็ง) ตกแก้วละ 20

สรุปว่าถ้าอยากอยู่รอดก็ต้องขายให้ได้
จุดคุ้มทุน = ต้นทุนคงที่ / (ราคาขายต่อหน่วย - ต้นทุนแปรผันต่อหน่วย)
= 35,000/(45-20)
= 1,400 แก้วต่อเดือน หรือคิดเป็น 1,400/30 = 47 แก้วต่อวัน

ถ้าวันๆนึงขายได้ปริ่มๆก็แสดงว่าทั้งเดือนเหนื่อยฟรีทำงานเลี้ยงค่าเช่า ลูกน้อง ค่าน้ำ ค่าไฟไป 

ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจ้งๆกันก็คือไม่รู้จักจุดคุ้มทุนของร้านตัวเอง และส่วนใหญ่ควบคุมต้นทุนไม่ได้มาทำจริงสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือมีการผลิตที่ผิดพลาด เช่นทำกาแฟผิด order ให้ลูกค้าต้องทำใหม่ เราเสียต้นทุนแก้วนั้นไปแล้ว 20 บาท และร้านเรากำไรแก้วละ 45-20=25 บาท เท่ากับว่าเราเสียไปฟรีๆ 2 แก้ว

โชคดีมีชัยครับ

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เปิดร้านน้ำปั่นไม่ใช่งานสบายๆนะเธอว์

หลายคนฝันอยากเปิดร้านน้ำปั่น ผลไม้ปั่น smoothy แต่ถ้าใครลองเปิดแล้วไม่ใช่งานสบายๆนะเธอว์ ตอนเปิดร้านอาหารร้านข้างๆเป็นซุ้มน้ำปั่นครับก็แอบบศึกษาหาความรู้กันมา ปัญหาใหญ่ของคนทำร้านน้ำปั่นก็คือการจัดการวัตถุดิบซึ่งก็คือคือผลไม้ มันทั้งใหญ่ หนัก เน่าเสียง่าย และราคาขึ้นลงตามฤดูกาล ถ้าจัดการไม่ดีสินค้าเน่าเสียเงินจมหมดเจ้งได้ไม่รู้ตัว มาดูกันครับว่าปวดกระบาลแค่ไหน

smoothy

การจัดซื้อ

อย่างที่บอกตอนต้นว่ามันวัตถุดิบของเราเป็นสินค้าเกษตรที่ราคาขึ้นลงตามฤดูกาล ช่วงไหนเป็นหน้าออกผลของมันของเยอะก็ราคาถูก ช่วงไหนไม่มีของก็ราคาแพงลิบลิ่ว อย่างส้มก็จะราคาถูกช่วงหน้าหนาวหน้าร้อนนี่แทบ shock1 ไม่มีของและราคาแพงด้วย ถ้าเรารักลูกค้ามากหาส้มมาขายก็อาจรักษาลูกค้าไว้ได้แต่ก็รับขาดทุนไว้ด้วยนะ

Logistics


Logistics แปลง่ายๆเป็นคำ 4 คำว่า เคลื่อนย้าย จัดเก็บ รวบรวม กระจาย ไปซื้อของมาก็ต้องคิดเรื่องการเคลื่อนย้ายไว้ด้วยเพราะมันเป็นสินค้าที่น้ำหนักมากขนด้วยมอเตอร์ไซต์ลำบาง บางที่ก็ต้องเหมารถตุ๊กๆจากตลาด อย่างที่ตลาดห้วยขวางนี่รถตุ๊กๆจากตลาดไปหน้า ม.หอการค้าเขาคิด 40 บาทถ้าวิ่งทุกวันเฉพาะค่ารถเดือนละ 1,200 shock2

ของมาที่ร้านก็ต้องจัดเก็บ ส่วนใหญ่จะเก็บไว้ในถังน้ำแข็งเอามาใช้ทั้งแช่ผลไม้และใช้ทำน้ำปั่น ส่วนใหญ่จะเห็นสั่งมาวันละ 1 ถุง ถุงละ 40 บาทเฉพาะค่าน้ำแข็งเดือนละ 1,200 shock3

จะเอามาปั่นให้ลูกค้าก็ต้องปอกซะก่อน จิตนการเอาเองแล้วว่าผลไม้ทุกชนิดต้องปอกเนี้ยอย่างต่ำๆก็ใช้เวลาครึ่งวัน แถมต้องจัดร้านด้วยอีก shock4 ปอกไว้ก็ต้องเอาไปเก็บในถังน้ำแข็งโดยธรรมชาติของผลไม้ปอกแล้วทิ้งไว้มันต้องช้ำเป็นธรรมดาถ้าขายไม่หมดก็ต้องทิ้ง วันๆนึ่งต้องทิ้งไปไม่รู้เท่าไรเงินทั้งนั้น shock5 บางทีจะหยุดร้านก็ไม่ได้กลัวของที่แช่ไว้จะเน่าอีก

การผลิต

การผลิตนี่ก็ปัญหาไม่ใช่เล่นครับลูกค้าแต่ละรายก็มีความต้องการต่างกัน ดังนั้นกว่าจะทำให้ลูกค้าคนอื่นได้ก็ต้องมี Setup time ในการล้างๆ ดีหน่อยที่ล้างแค่น้ำเปล่าแต่ก็ทำให้เสียเวลาในการขายมากๆ ลูกค้าต้องรอนาน shock6 สำหรับคนที่จะเปิดร้านน้ำผลไม้ปั่นแนะนำให้ใช้เครื่องปั่นแบบแรงๆครับแพงหน่อยแต่ว่าได้เนื้อน้ำปั่นที่ละเอียดและละลายช้าครับ

สรุปว่าจะทำอะไรก็ต้องวางแผนกันดีๆครับ หวังว่าบทความนี้คงช่วยให้คนที่คิดจะเปิดร้านน้ำปั่น น้ำผลไม้ปั่น ได้เตรียมตัวแก้ปัญหาต่างๆตั้งแต่เนิ่นๆนะครับ

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปัญหาที่ต้องเจอเมื่อคิดจะเปิดร้าน

หลายปีมานี้ความต้องการอยากมี “ธุรกิจอิสระ” เป็นของตนเองในหมู่คนรุ่นใหม่วัยหนุ่มสาว และมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการปลดแอกตัวเองจากพันธนาการของนายจ้างนั้นดูจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

หลายต่อหลายคนฝันถึงกิจการเล็กๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ, ร้านเบเกอรี่, ร้านหนังสือ, ร้านนวด, ร้านอาหาร, เกสต์เฮ้าส์ไปจนถึงโรงแรมเก๋ๆ อาจเพราะรูปแบบวิถีชีวิตและพฤติกรรมการกินการอยู่ของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปเยอะ มีคนนับแสนนับล้านที่เสพติดการเดินทางท่องเที่ยว ชอบทดลองของใหม่ และชอบใช้ชีวิตแฮงเอาท์อยู่นอกบ้านตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทำให้ปริมาณร้านกาแฟ คาเฟ่ ร้านอาหาร ตลอดจนกิจการร้านค้าขนาดเล็กต่างๆ เพิ่มขึ้นราวกับดอกเห็ด

จากผลการสำรวจพบว่าความฝันของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่การได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ชื่อเสียงโด่งดัง ร้อยละ 70 บอกว่าต้องการกลายร่างจากพนักงานกินเงินเดือนมาเป็น “ผู้ประกอบการพันธุ์เล็ก” และพร้อมจะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับการลงทุนเพื่อธุรกิจในฝันทันทีที่มีเงินทุน เพราะแม้ว่าสิ่งที่ฝันไว้จะไม่ใช่อาชีพที่ดีที่สุดหรือให้ผลตอบแทนด้านรายได้สูงสุด แต่หากมันเป็นอาชีพที่ทำให้เขามีความสุข และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ส่วนตัวได้อย่างดี พวกเขาก็พร้อมที่จะลองลุยกับมันดูสักตั้งมาดูกันว่า 6 อันดับแรกเขาอยากทำอะไรกันบ้าง
  1. ร้านกาแฟและเบเกอรี่ – กรณีตัวอย่างจากอาฟเตอร์ ยู (After you) และ ไลบรารี่ (Library)
  2. ร้านหนังสือขนาดเล็ก – กรณีตัวอย่างจากร้านหนังสือเดินทาง, ร้านสวนเงินมีมา และร้านก็องดิด
  3. ร้านดอกไม้ – กรณีตัวอย่างจากร้านนภสร และ เรือนบุษบา
  4. บูติกโฮเต็ล – กรณีตัวอย่างจากเดอะภูธร, เฟื่องนคร และ พระนครนอนเล่น
  5. โรงเรียนสอนทำอาหาร – กรณีตัวอย่างจาก เรียนร่วมโต๊ะ และ A little something
  6. สปาและร้านนวด – กรณีตัวอย่างจาก DIVANA Spa & Clinic และ เรือนนวด 

แต่การทำธุรกิจอิสระว่าไปก็เหมือน "คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า" นะครับ คิิดว่าออกจากงานประจำมาทำแล้วจะมีความสุข ลืมคิดถึงปัญหาที่คุณต้องรับผิดชอบ เพราะคุณคือเจ้าของทุกปัญหาในร้านเป็นเรื่องที่คุณต้องตัดสินใจ

หลายคนบอกว่าเวลาที่มีความสุขที่สุดของการทำธุรกิจมีแค่สองช่วงคือ "ตอนเริ่มเปิดร้าน กับ ตอนเลิกกิจการ" เพราะเมื่อไรที่คุณเปิดร้านร้านนั้นจะเป็นเจ้านายคุณทันที อยู่เฉยๆไม่ได้ต้องทำงาน 7 วัน 24 ชั่วโมงไม่เหมือนตอนทำงานประจำที่อู้ได้ ปัญหาใหญ่ที่ค้ำคอไม่ให้หยุดได้ง่ายก็คือเรื่องเงิน เพราะถึงไม่ทำก็จะมีค่าใช้จ่ายคงที่เดินตลอดทุกวินาที ถ้าไม่จ่ายร้านก็อยู่ไม่ได้ และยิ่งตอนเปิดร้านไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินทุนหมุนเวียนด้วยก็เตรียมตัวเจ้งได้เลย เพราะแหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจที่พึ่งเริ่มต้นนั้นหายากมาก bank ก็ไม่ค่อยปล่อยกู้เพราะไม่มีเครดิต มีแต่เงินกู้นอกระบบที่ดอกแสนแพง

อีกเรื่องนึ่งที่ต้องดูคือเรื่องของการแข่งขันธุรกิจเล็กพวกนี้ใช้เงินลงทุนไม่สูง ความรู้ไม่ต้องมาก คนอยากทำเยอะทำให้ คู่แข่งเยอะมากบางทีซอยเดียวกันมีร้านกาแฟสี่ห้าเจ้า แต่ลูกค้าก็เท่าเดิม ดังนั้นยอดขายก็จะไม่สูงโด่งถ้ามีการตัดราคากันด้วยอัตรากำไรก็ต่ำเตี้ยติดดิน

การบริหารประจำวันก็วุ่นวายไม่ใช่เล่น ตั้งจัดการทั้งเรื่องของและคน จะสั่งของเท่าไร จัดร้านยังไง คิดเงิน เก็บเิงิน ฯลฯ เรื่องคนก็ต้องจัดการทั้ง ตัวเอง ลูกค้า พนักงาน ตัวเองไม่เท่าไรเพราะมีค่าใช้จ่ายประจำค้ำคออยู่แล้ว แต่ลูกค้ากับพนักงานนี่แหละตัวปัญหา

ทำไปซักพักการเติบโตก็เป็นปัญหาใช่เล่นเพราะการเปิดร้านมันจะมีจุดอิ่มตัวของมันทำแทบตายก็ได้เท่าเดิมไม่เพิ่ม แต่จะโตก็ต้องเหนื่อยอีก บาทธุรกิจก็ทู้ซี้ทำไปเรื่อยๆก็มี

สรุปว่าจะเปิดร้านอะไรก็ต้องคิดและวางแผนดีๆครับเพราะมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดคุณอาจเห็นแค่เบื้องหน้าว่าทำร้านมีความสุขแต่เบื้องหลังการถ่ายทำมันหนังชีวิตครับ

สู้ต่อไป SME ไทย.

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ฺBusiness model canvas เครื่องมือเขียนแผนธุรกิจอันทรงพลัง

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มจะเขียนแผนธุรกิจแนะนำหนังสือเล่มนี้ครับ Business model generation มีประโยชน์มากเพราะว่ามันเห็นเป็นภาพชัดว่าตัวหนังสือบรรยาย เหมาะกับการ brainstorming สนุกสนาน idea ธุรกิจบรรเจิดมาก ที่ยกมาข้างล่างก็เป็นบทความของ อ.Wiboon Joong เขียนไว้ที่พันทิป มีประโยชน์มากเชิญอ่านโดยพลัน


ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ผมได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือ ตัวหนึ่งเพื่อใช้วางแผนกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการบริหาร หรือ การตลาด ซึ่งพบว่า เครื่องมือตัวนี้ เป็นเครื่องมือที่มองอีกมุมหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ และ ใช้ได้ทั้งธุรกิจเก่า และ ธุรกิจใหม่ ซึ่งจะใช้เพียง 9 กล่องข้อมูล (9 Building Blocks) ในการออกแบบเท่านั้น ชือของมันคือ Business model canvas

ทั้งนี้ โมเดล ดังกล่าว เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อวิเคราะห์หากลยุทธ์ในการดำเนินกิจการ
ซึ่งสามารถใช้งานทั้งจาก ซ้ายไปขวา หรือ จากขาวไปซ้ายก็ได้

การคิดจากซ้ายไปขวา เป็นการคิดในเชิงการผลิตโดยมองมุมของเจ้าของกิจการเป็นหลัก ถ้าเป็นการออกแบบตามความต้องการของเจ้าของกิจการ โดยมองว่า เจ้าของกิจการมีความสัมพันธ์กับใครบ้าง แล้ว จะทำความสัมพันธ์เหล่านั้นเพื่อให้เป็นสินค้าต้องทำอย่างไร ก่อนจะกำหนด กลุ่มลูกค้า

การคิดจากขวาไปซ้าย เป็นการคิดในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าว่า เราจะเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใด ด้วยช่องทางใด สินค้าแบบใด แล้วค่อยมาคิดถึงกระบวนการผลิต

หรือบางคนเริ่มจาก กล่องกลาง คือ สินค้า หรือ มูลค่าเพิ่มของสินค้า และ ค่อยไปกล่องขวาสุดที่เป็น กลุ่มลูกค้า และ กล่องซ้ายสุด ที่เป็น พันธมิตรธุรกิจกับเรา แล้วค่อย วิเคราะห์ การเชื่อมโยงของ ทั้ง 3 กล่องนี้

ในกรณีที่เป็นธุรกิจเก่า เราอาจจะไม่ต้องสนใจการคิดแบบขวาไปซ้าย หรือ ซ้ายไปขวา แต่ขอให้ระบุรายละเอียดในแต่ละกล่องให้สมบูรณ์ก่อนที่จะวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางในการดำเนินการและปรับปรุง ก็ได้

จะเห็นว่า แนวทางการคิดของ Business Model นี้มีได้หลายแบบ แต่ทั้งนี้ ผลที่ได้จะเหมือนกัน คือข้อมูลที่อยู่ในแต่ละกล่อง คนที่ชอบสังเกตุ และ มองได้หลายๆมุม ก็จะยิ่งสามารถแจกแจงรายละเอียด ได้มากขึ้น

ในกรณีที่รายละเอียดมากเกินไป การจับกลุ่มข้อมูลจึงมีความสำคัญ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่กระชับมากยิ่งขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ Business Model จึงสามารถวางแผนได้ทั้งในองค์รวม และ รายละเอียดของธุรกิจนั้นๆ
ซึ่งผมจะขออธิบายองค์ประกอบ ของทั้ง 9 กล่อง จากขวาไปซ้ายละกันนะครับ


Business model canvas

1. กลุ่มของลูกค้า หรือ Customer Segments บางระบบจะย่อเป็น CS


เป็นการแบ่งกลุ่มของลูกค้า เพื่อหาข้อมูลว่า ลูกค้าในแต่ละกลุ่มนั้น มีความต้องการอย่างไร มีลักษณะสำคัญอย่างไร พฤติกรรมเป็นอย่างไร หรือ ปัญหาที่ลูกค้าพบคืออะไร เป็นต้น

อันนี้ผมพบว่า มีปัญหาในการแบ่งกลุ่มของลูกค้า อยู่บ้าง และ พบว่า Business Model นี้เหมาะกับ การวิเคราะห์กับการขายสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรง หรือ ใช้กับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ หรือ ใช้กับสินค้าเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ ดีมาก

ถ้าคุณเปิดบริษัทฯใหม่ ต้องการ ขายสินค้าให้กับ นักเรียน นักศึกษา อันนี้ก็มีเพียง 2 กลุ่มให้วิเคราะห์ ซึ่งเป็นการกำหนดกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน

หรือถ้า สินค้าคุณคือ สบู่ที่มีคุณภาพราคาแพง แน่นอนว่า กลุ่มลูกค้าของคุณ ก็คงหนีไม่พ้นคนมีรายได้สูง ชอบของมีคุณภาพ...

แต่ถ้า คุณกำลังวางแผนกลยุทธ์ให้กับห้างสรรพสินค้า กลุ่มลูกค้าออกมาได้หลากหลาย การวิเคราะห์ก็จะเริ่มยากขึ้น ต้องใช้องค์ประกอบอื่นๆ เพิ่มเข้ามาในการแจกแจงกลุ่มลูกค้าอีกที

เมื่อได้กลุ่มลูกค้าแล้ว คุณก็ต้องหาว่า แต่ละกลุ่ม มีจุดเด่น จุดด้อย ลักษณะ พฤติกรรม อย่างไรอีกชั้นหนึ่ง...

สิ่งที่ได้รับจากการทำเช่นนี้ ทำให้คุณได้เห็นแนวคิดของทีมหรือของคุณ กับ กลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม ยิ่งคุณหามุมมองที่แตกต่างจากคนทั่วไปได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะวางแผนกลยุทธ์ได้ดีก็มีมากตามไป ทั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจว่า บางมุมมองซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไป อาจจะกลายเป็น จุดที่จะทำให้เราสามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด หรือ การบริหารจัดการ ได้ดีกว่าคนอื่นๆที่มองไม่เห็นก็ได้..
Customer Segments

2. การนำเสนอคุณค่า Value Proposition หรือบางที่ใช้ VP ซึ่งเป็นกล่องตรงกลาง


จริงๆมันก็คือ สินค้า และ บริการ แต่การที่ใช้คำว่า Value Proposition มันน่าจะมีความหมายที่แตกต่างจากสินค้าและบริการทั่วไป ตามแนวความคิด

ซึ่งจะเห็นว่า Proposition เกิดจาก 2 คำคือ
Pro ที่แปลว่า เหนือ, หรือ มากกว่า กับ
Position คือ ตำแหน่ง

ดังนั้น เป้าหมายของ สินค้าแลบริการ ที่จะลงข้อมูลในช่องนี้ คือ มูลค่าเพิ่มที่ใส่เข้าไปในสินค้า หรือ บริการ แล้วทำให้ตำแหน่งของสินค้าและบริการของเรา อยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าสินค้าอื่นๆทั่วๆไป หรือ ที่อยู่ในท้องตลาด

Value หรือ มูลค่า ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณลักษณะของสินค้า แต่มันรวมถึง คุณค่าต่างๆที่ไม่สามารถวัดออกมาด้วย เช่น คุณค่าทางใจ, ความรู้สึก, มุมมอง, แนวคิดที่สอดคล้อง, การเข้าร่วมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฯลฯ...

ถ้าคุณวางแผนกลยุทธ์ทางด้านการขายสินค้า แล้วมีสินค้าหลายตัว แนะนำให้ แยกออกไปวางแผนกลยุทธ์ ตามกลุ่มสินค้า หรือ ประเภทสินค้า อย่าเอาสินค้าทั้งหมด มาวิเคราะห์ในแผนเดียว เพราะจะทำให้สับสน (ผลปรากฎว่า ไม่สามารถจับประเด็นมาทำกลยุทธ์ได้อย่างแท้จริง)

ในจุดนี้ คุณจะพบว่า สิ่งที่คุณคิดขึ้น กับ กลุ่มลูกค้า บางทีมีบางเรื่องที่อาจจะทำเป็นกลยุทธ์ขึ้นมาได้ ทั้งนี้ หากคิดอะไรเพิ่มเติมจากปัจจุบันได้ ก็ควรเขียน โน๊ตไว้อีกสีหนึ่งเผื่อจะได้นำมันมาวางแผนกลยุทธ์ต่อไป

การเข้าใจ สินค้าและบริการ เป็นเหตุผลหลักของธุรกิจ คนที่ไม่สามารถระบุจุดเด่นของสินค้าหรือบริการ ของตนเองได้ ผมพบว่าส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจมานาน จนไม่ได้มองว่าสินค้าเป็นอย่างไร ใช้ Connection ที่มีอยู่ หรือ มีการขายสินค้าได้อยู่ เลยไม่ได้มองถึงจุดๆนี้ ซึ่งนับว่าเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจ
การนำเสนอคุณค่า
ผมได้อธิบายไป 2 กล่อง เพื่อให้เห็นภาพ กล่องแรกคือ Customer Segments ซึ่งผมใช้แทนด้วยสีเหลือ และอีกกล่องคือ Value Proposition สีฟ้า

จะเห็นว่า ระหว่าง 2 กล่องนี้ จะมี อีก 2 กล่องที่เชื่อมระหว่าง Value Proposition และ Customer Segment ทั้ง 2 กล่องนี้คือ Customer Relationships และ Channels ซึ่งผมจะกล่าวต่อไป...


3. ความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ Customer Relationships บางที่ใช้คำยอ่ว่า CR


โมเดลหลายๆโมเดลก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยพูดถึง ความสัมพันธ์กับลูกค้า แต่มีทฤษฎีเกี่ยวกับ ความพึงพอใจของลูกค้า อยู่บ้าง Business Model ตัวนี้ ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ ระหว่างองค์กร ค่อนข้างมาก

เมื่อเราจะกำหนด Customer Relationships ในจุดนี้ ต้องมองในมุมของ ลูกค้าเป็นหลัก เพราะถ้ามองในมุมของเจ้าของสินค้า ความคลาดเคลื่อนอาจจะมีมากด้วย ผม พบเจ้าของกิจการบางท่าน ก็จะบอกว่า ลูกค้าพอใจในสินค้าและบริการของเขาอย่างมาก ไม่ต้องดูเรื่องนี้หรอก แต่เมื่อตรวจวัด ความพึงพอใจของลูกค้า (CSI : Customer Satisfaction Index) ขึ้นมา ทุกราย ตัวเลขสื่อให้เห็นว่า พวกเขาไม่พึงพอใจต่อการให้บริการหรือแม้นแต่สินค้า ก็มี แต่จำเป็นต้องใช้เพราะ มีการขายรายนี้เพียงรายเดียวที่คุณภาพได้ หรือ ราคาถูก เป็นต้น

ในการวางแผนกลยุทธ์ทางด้านการตลาด ในเรื่องของ Customer Relationships ค่อนข้างมีความสำคัญ เพราะเป็นตัวบ่งบอกว่า ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำหรือไม่ หรือ ลูกค้าจะบอกต่อให้เพื่อนๆใช้สินค้านี้หรือไม่

เมื่อเจ้าของกิจการคิดรายละเอียดถึงความสัมพันธ์กับลูกค้า จะมีบางช่วงเวลา แว๊บๆขึ้นมาว่า กิจการเราไม่ดีต่อลูกค้าอย่างไร หรือ ลูกค้ากับองค์กรมีปัญหาอย่างไร ก็ให้ใส่สิ่งเหล่านั้นขึ้นมาด้วยเพื่อจะได้วางแผนกลยุทธ์ในการบริหารความสัมพันธ์ให้คงอยู่ยั่งยืนต่อไป
CRM

4 ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า หรือ Channels บางที่จะย่อว่า CH


บางคนใช้ ช่องทางการเข้าถึงลูกค้านี้ เป็น ช่องทางการจัดจำหน่ายก็มี หรือบางคน ก็ใช้เป็น Logistics ก็มี

บางคนการวางแผนกลยุทธ์ทางด้านการตลาด จะมองจุดนี้เป็นช่องทางการจัดจำหน่าย
บางคนการวางแผนกลยุทธ์ทางด้านการจัดการ ก็จะมองจุดนี้เป็น  Logistics ก็มี

ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครผิด มันขึ้นอยู่กับ การวางแผนกลยุทธ์นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องใดบ้าง

การโฆษณา หรือ ประชาสัมพันธ์ ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่จะเข้าถึงลูกค้า

การใช้สื่อ Internet หรือ Skype ก็เป็นช่องทางเข้าถึงลูกค้า

ผมจึงสรุปเป็นภาษาไทยรวมๆว่า ช่องทางที่จะเข้าถึงลูกค้า
ตัวอย่างช่องทางที่จะเข้าถึงลูกค้า

จะเห็นว่า ความสัมพันธ์ ระหว่าง กล่องที่ 1 คือ ลูกค้า กล่องที่ 2 คือ มูลค่าเพิ่มเติม ต้องใช้วิธีการต่างๆเพื่อ สื่อให้กับลูกค้าได้รับรู้ โดยใช้กล่องที่ 4  และ ต้องให้ลูกค้าพึงพอใจ หรือ ทำให้ลูกค้าพอใจ ในกล่องที่ 3

เป้าหมายของ Business Model ของทางฝั่งนี้ คือ กล่องที่ 5 รายได้ที่ได้รับ


 5. กระแสรายได้ หรือ Revenue Streams บางแห่งย่อว่า RS

คำว่า Streams แปลว่า ทางน้ำไหล หรือ เป็นสาย ฝรั่งเขาเติม s เข้าข้างหลัง นั่นหมายถึง เป้าหมายของการดำเนินธุรกิจ ต้องการ ทางเข้าของรายได้ หลายๆสายนั่นเอง

การที่รายได้เข้ามาเป็นสาย นั่นหมายถึง ความมั่นคงทางการเงินที่มากขึ้น

บางธุรกิจ รายได้มาแบบกะปิกะปอย (ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) มันจะรู้สึกหงุดหงิด ทำอะไรมันไม่ค่อยจะสะดวกสักเท่าไหร่  แต่ถ้า รายได้เข้ามาตลอดเวลา หลายๆทาง ก็จะรู้สึกว่า การดำเนินธุรกิจไป คุ้มค่า และ จะสนุกกับการทำธุรกิจนั้นๆ

การจำทำให้เกิดกระแสรายได้เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จึงเป็นเป้าหมายในการวาง Business Model นี้ด้วย

ธุรกิจ อาจจะได้รายได้เพียงทางเดียว คำถามที่ผมมักจะถามกับเจ้าของกิจการคือ แล้วคุณคิดว่าจะหารายได้เพิ่มมาจากที่ใด ?

เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ คิดที่จะเปิดธุรกิจเพิ่ม ซึ่งบางคนก็คิดไปคนละเรื่องกับธุรกิจที่ดำเนินอยู่ ซึ่งมันก็ดี

แต่ในการแผนกลยุทธ์ในรูปแบบนี้แล้ว คุณควรจะมองรายได้เพิ่มจากธุรกิจต่อเนื่อง หรือ จากการบริการ หรือ จากมูลค่าเพิ่มของสินค้า มากกว่า การมองหาธุรกิจใหม่ๆ ทั้งนี้ก็เพราะ การมองหากระแสรายได้จากธุรกิจเดิม แล้วต่อยอด ใช้ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า อีกทั้งเจ้าของกิจการ หรือ ผู้ปฏิบัติการมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

เจ้าของธุรกิจบางราย เลือกที่จะขึ้นราคาสินค้า เพื่อสร้างให้กระแสรายได้ ใหญ่ขึ้น ก็ต้องเสี่ยงกับ การหายไปของจำนวนลูกค้าว่า คุ้มค่าหรือไม่กับการเสี่ยงที่จะขึ้นราคาสินค้า บางสินค้าที่มีคู่แข่งน้อย หรือ มีการกำหนดราคาร่วมกัน ก็ไม่ค่อยจะมีปัญหา แต่กับสินค้าที่มีการแข่งขันสูง การขึ้นราคาอาจจะไม่ใช่หนทางที่ดีนัก

สิ่งที่คุณจะได้จากการดูกระแสรายได้ บางครั้งอาจจะต้องตกใจว่า มีเพียง กระแสรายได้ เดียว และ เป็นกระแสรายได้ที่ไม่ค่อยจะปลอดภัยเสียด้วย เช่น บริษัทฯผลิตรองเท้า OEM ให้กับรองเท้ากีฬาชื่อดัง โดนเจ้าของแบรนด์ย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม ทำให้เจ็งไปแล้วก็หลายราย และถ้าคุณสามารถรู้ก่อนว่า คุณจะเกิดปัญหาจากกระแสรายได้เพียงทางเดียว คุณก็ควรที่จะมองหากระแสรายได้ที่มีความปลอดภัยอื่นๆเพิ่ม ป้องกันตั้งแต่วันนี้ก่อนจะสาย
กระแสรายได้

 ธุรกิจ ส่วนใหญ่ มักจะวางกลยุทธ์ทางด้านการตลาด โดยใช้ 5 กล่อง นี้

แต่ทั้งนี้ กล่องที่เหลือ จะเป็น แนวทางการปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนให้ 5 กล่องแรก ประสบความสำเร็จ ถ้าวางแผนกลยุทธ์อย่างฉาบฉวย ก็จะดูที่ผลที่จะได้รับอย่างรวดเร็ว แต่ผลสุดท้ายแล้ว กลับไม่ยั่งยืน ดังนั้น กล่องที่เหลือ จึงเป็นกล่องเพื่อสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนนั่นเอง

ซึ่งผมขอเริ่มจากกล่อง ขวาสุดก่อน


6. คู่ค้าดำเนินธุรกิจที่สำคัญ หรือ Key Partners บางแห่งใช้ย่อว่า KP


ในด้านการวางแผนกลยุทธ์ในการผลิต Key Partners ส่วนใหญ่จะเป็น Supplier หลัก ที่ส่งวัตถุดิบมาให้เราเป็นจำนวนมากๆ ซึ่งถ้าเกิดปัญหากับ Supplier รายนั้น ปัญหาก็จะกระทบกับเราเช่นกัน ให้ดูผลที่เกิดจากน้ำท่วมที่ผ่านมา ทำให้วงการคอมพิวเตอร์ หรือ วงการอิเล็กทรอนิกส์ เกิดภาวะหยุดนิ่งชั่วขณะ เนื่องจาก ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่อยู่ในไทย เป็นต้น

หรือบางครั้ง Key Partners ก็หมายถึง บริษัทฯ ที่เราไปว่าจ้างเขาผลิตด้วย

ในด้านการวางแผนกลยุทธ์ในธุรกิจซื้อมาขายไป Key Partners จะกลายเป็น Supplier ส่งสินค้าให้กับเรา

เป็นต้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับธุรกิจต่างๆ โดยรวม Key Partners จะหมายถึง บริษัทฯอื่น ที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจของเรา หรือ สนับสนุนธุรกิจของเราให้ดำเนินไปอย่างปกติ หรือ ดำเนินไปได้ดีขึ้นจากปกติ เพื่อหากลยุทธ์จากข้อมูลต่างๆที่ป้อนเข้าไปในกล่องน

คู่ค้าที่สำคัญ
เมื่อมองภาพรวมของการเชื่อมโยงในแต่ละกล่อง จะเห็นว่า ระหว่าง Key Partners และ Value Propositions ก็จะมีอีก 2 กล่อง ที่เป็นตัวประสานของ 2 กล่องนี้ คือ Key Activities และ Key Resources

สาเหตุที่ผมอธิบาย Key Partners ก่อน เพราะ คุณจะได้เชื่อม ความสัมพันธ์ ทั้ง 2 อย่างนี้เข้าด้วยกันด้วย ในการหาข้อมูลเข้ามาใส่ในกล่องทั้ง 2 นี้

ถึงแม้นแต่ คุณไม่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง Key Partners และ Value Propositions ทั้ง 2 กล่องที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ก็ต้องคิดในเรื่องที่จะสนับสนุน 5 กล่องแรกทั้งหมดได้เช่นกัน

7. กิจกรรมหลัก หรือ Key Activities บางแห่งย่อว่า KA


กิจกรรมหลัก เป็นกิจกรรมที่จะสนับสนุนให้ สินค้า และ บริการ มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น หรือ เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่าง คู่ค้า-ดำเนินธุรกิจหลัก ว่า ควรมีกิจกรรมอย่างไรเพื่อให้ คู่ค้าสนับสนุนธุรกิจเราได้ดีมากยิ่งขึ้น

กิจกรรม อาจจะเป็นกิจกรรมที่ส่งผลให้ กลุ่มลูกค้า เกิดความพึงพอใจ หรือ เป็นกิจกรรมร่วมระหว่างองค์กรกับลูกค้าด้วยก็ได้ หรือ เป็นกิจกรรมที่สนับสนุนการขาย เป็นช่องทางการขายเพิ่มมากขึ้น หรือ ให้บริการได้ดีขึ้น

ทั้งนี้ กิจกรรมที่จะดำเนินการ อาจจะแฝงด้วยผลกำไรอีกทางก็จะดีไม่น้อย

บางครั้ง กิจกรรมนี้ ในทางการวางแผนกลยุทธ์ทางการผลิต ก็จะหมายถึง การผลิต ด้วย

 8. ทรัพยากรหลัก หรือ Key Resources เขียนย่อว่า KR


ซึ่งเป็นวัตถุดิบ (Material) ที่ใช้ในการผลิตก็ได้ เพื่อให้สินค้าและบริการดีขึ้น หรือ จะเป็นสินค้าอื่นๆที่ซื้อมาเพื่อขายร่วมกับสินค้าก็ได้

ในการแผนผลิตภัณฑ์ ก็อาจจะกล่าวถึง Packaging ที่สนับสนุนให้การส่งสินค้าดีขึ้น

บางครั้งเราก็จะกล่าวถึง Key Man ในช่องนี้ ทรัพยากรบุคคล เครื่องจักรการผลิต เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เราเห็น ระบบการสนับสนุนของสินค้าและบริการของเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 9. โครงสร้างค่าใช้จ่าย หรือ Cost Structure ย่อว่า CS


โครงสร้างค่าใช้จ่าย ดูจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนหรือ จากกล่อง 1-8 ทั้งนี้จะทำให้เราเห็นภาพรวมของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นว่า มีจำนวนประมาณเท่าใด จุดใดเสียค่าใช้จ่ายมาก หรือ น้อยอย่างไร และเป็นตัวบ่งชี้ว่า เราจะสามารถคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม ณ จุดใด

ซึ่ง กล่องที่ 9 โครงสร้างค่าใช้จ่าย และ กล่องที่ 5 กระแสรายได้ จะบ่งบอกถึง สถานะทางการเงินของธุรกิจ

ผมคิดว่า เพื่อนๆที่เข้ามาอ่าน คงเข้าใจ หลักการของทั้ง 9 Blocks ข้างต้นแล้ว

ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่า เมื่อคุณรู้จัก 9 Blocks แล้ว คุณก็ยังคงสงสัยว่า จะเอาไปใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ ต่อไปได้อย่างไร

เอาไว้ถ้าผมพอมีเวลาว่างเหมือนวันนี้ ผมจะมาอธิบายวิธีการใช้งานให้อีกครั้งหนึ่งนะครับ..

ต้องขอตัวก่อนครับ


ตัวอย่าง business model ของ myspace.com
business model ของ myspace.com

ถ้าอยากหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเอง ลองไปที่เวบ businessmodelalchemist.com อันนี้ผู้เขียนหนังสือเป็นคนอธิบาย แล้วก็มี ppt อธิบายหลักการอยู่หลายอัน (อันที่เขาเอาไว้ training) ต้องลองหาดูในโพสต์เก่าๆเขาถ้าตามอ่านดู จะได้แนวทางแผนธุรกิจหลายๆแบบเลยทีเดียว หรือลอง search "Business model generation examples" ก็ได้ครับ