วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

5 ข้อคิดในการตั้งหน้าร้าน



ในการทำธุรกิจ ทำเลที่ตั้งของร้านค้าเป็นสิ่งสำคัญมากต้องคิดให้ดี ๆ ถ้าเลือกทำเลที่ตั้งไม่ดีลูกค้าเป้าหมายก็จะไม่เห็นหน้าร้าน คนจะเข้าร้านน้อย สินค้าก็จะขายยาก รายได้ไม่มา แต่รายจ่ายรอท่านอยู่ทุกสิ้นเดือน ทั้งค่าเช่าร้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าแรงพนักงาน สุดท้ายขาดทุนปิดร้านปูเสื่อกลับบ้านกันไป ดังนั้น การตั้งหน้าร้านเพื่อให้คนเห็นและเข้ามาซื้อ มีหลักสำคัญในการเลือกดังนี้

1.สินค้าคุณคืออะไร


ในการเริ่มต้นทำธุรกิจต้องตอบคำถามแรกให้ได้ก่อนว่า สินค้าของคุณคืออะไร จริง ๆ แล้วคุณขายอะไรกันแน่ สินค้าคุณแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้า นักธุรกิจมือใหม่ส่วนใหญ่ เวลาเริ่มต้นธุรกิจมักจะเริ่มจากตัวสินค้าก่อน เช่น อย่างเปิดร้านขายเสื้อผ้า ร้านกาแฟ ร้านชาเขียว รับประกันเลยว่าส่วนใหญ่มักจะเจ๊ง เพราะ เป็นสินค้ามีการแข่งขันสูง ถูกลอกเลียนแบบได้ง่าย คู่แข่งก็เยอะ ใครๆก็เข้ามาแข่งง่าย

ดังนั้นการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันการทำธุรกิจจะเริ่มจากการออกแบบ "คุณค่า (Value) " ของสินค้าก่อน ว่า สินค้าและบริการของเรากำลังที่จะไปช่วยเพิ่มความสุขและลดความทุกข์ให้ลูกค้าได้อย่างไร

การที่เรารู้จักลูกค้าและการออกแบบคุณค่าของสินค้าสินค้าของเราให้ชัดเจนก่อนเริ่มตั้งร้าน จะช่วยให้สามารถวางแผนการทำการตลาด และหาทำเลที่ตั้งให้ตรงกลุ่มลูกค้าได้ตรงกลุ่มมากขึ้น ในบางครั้งธุรกิจในฝันของคุณอาจจะไม่ต้องตั้งหน้าร้านแบบเป็นัวเป็นตนเลยก้ได้ขายออนไลน์ก็เพียงพอ

2.ในบริเวณนั้นมีกลุ่มลูกค้าหรือไม่


ถ้าผู้อ่านสามารถตอบคำถามได้ชัด ๆ ว่า สินค้าของเราคืออะไร ลูกค้าของเราเป็นใคร ต้องเริ่มเดาก่อนว่า ลูกค้าเราอยู่ที่ไหน เช่น สินค้าของเราเน้นเจาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ทำเลที่ตั้งก็ควรจะอยู่หน้ามหาวิทยาลัย หรือจะขายอาหารคลีน เจาะกลุ่มคนวัยทำงาน ก็ควรเลือกทำเลที่ตั้งใกล้ ๆ แหล่งสำนักงานเป็นต้น

เมื่อได้สมมติฐานแล้วก็ต้องไป ลงพื้นที่สำรวจตลาดให้แน่ใจ ว่า มีลูกค้าที่เราจะทำตลาดด้วยจำนวนเท่าไร และมีความต้องการสินค้าเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปรอดได้หรือไม่

ข้อแนะนำ คือ ไปยืนนับลูกค้าเลยว่า จำนวนคนเดินผ่านเท่าไร เพศและอายุเป็นเท่าไร พฤติกรรมเป็นอย่างไรเดินผ่านเฉย ๆ รีบกลับบ้าน หรือเดินผ่านแล้วเลือกสินค้าไปด้วย เมื่อคนเข้าร้านแล้วมีการซื้อสินค้าหรือไม่ ดูจากเดินเข้าแล้วมีการถือถุงออกมาหรือเปล่า จดด้วยก็ดีว่าสินค้าที่ซื้อมูลค่าประมาณเท่าไร

3.ระวังเรื่องช่วงเวลา


หลายธุรกิจมักจะตกม้าตายเรื่องของช่วงเวลา เราต้องศึกษาให้ดีๆว่าทำเลที่เราสนใจกลุ่มลูกค้ามาเยอะช่วงเวลาไหน ไม่ใช่เดินผ่านๆเห็นคนเยอะนึกว่าลูกค้าจะมาทั้งวันก็เปิดร้านเลย

ยกตัวอย่างเช่นการเปิดร้านค้าทำเลหน้ามหาวิทยาลัย คนตัวไปอาจมองว่าคนเยอะขายของง่าย แต่ทำเลหน้ามหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนถือว่าเป็นทำเลปราบเซียนทำเลหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าไปดูดี ๆ จะพบว่าช่วงปิดเทอมคนเงียบยังกับเป่าสาก ยอดขายลดลง แต่รายจ่ายเท่าเดิมทั้งค่าแรงและค่าเช่า ถ้าช่วงเปิดเทอมสายป่านไม่ยาวพอ หลายร้านค้าก็จะต้องล้มหายตายจากไป

4.เช็คให้ชัวร์จากการทำการตลาดออนไลน์


เดี๋ยวนี้การทำธุรกิจต้อง ทำทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ในการทำโฆษณาบน Facebook มีเครื่องมือช่วยวิจัยตลาดได้ โดยดูจากความสนใจของลูกค้าที่เราสนใจว่ามีขนาดเท่าไรเพียงพอที่จะทำธุรกิจหรือไม่

โดยที่เราสามารถการกำหนดได้ตั้งแต่ เพศ อายุ และความสนใจ ที่น่าจะเป็นลูกค้าของเรา ระบบจะประมาณการกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่น่าจะสนใจสินค้าของเราขึ้นมา ถ้าดูแล้วมีจำนวนที่มากพอที่จะทำกำไรได้คุ้มต้นทุนคงที่ก็ถือว่าดีทำแล้วน่าจะรอด

เช่น จะขายอาหารสุขภาพให้พนักงานผู้หญิงออฟฟิศแถวอโศก ก็กำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็น ผู้หญิง อายุ 25 ขึ้นไป ทำเลที่ตั้ง อโศก ความสนใจ อาหารสุขภาพ สมมติว่า ได้ตัวเลขมา 3000 คน ถ้าจุดคุ้มทุนของร้านอยู่ที่ 30 คนต่อวัน ก็คือต้องมีลูกค้าหมุนเวียนประมาณ 1% ถ้ามองว่า ทำได้ชัวร์ก็พอลงทุนได้ แถมยังสามารถทำการตลาดออนไลน์เพิ่มยอดขายได้อีก

5.ระวังทำเลรอง


เงินไม่มีขาต้องให้คนพามา บางทำเลขายของ ต่างกันแค่ล็อกเดียวยอดขายต่างกันราวฟ้ากับเหว อย่างเช่น ร้านหัวมุมกับร้านติดกันที่ต้องเดินเข้าซอยไปอีกนิดเดียว คนอาจจะมองว่า ล็อกติดกันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าลองมาขายจริงจะพบว่า ยอดขายต่างกันมาก เนื่องจากพอตัวร้านอยู่ลึกเข้าไปในซอย การเห็นของลูกค้าก็จะลดลง เมื่อลูกค้าเห็นน้อยลงโอกาสที่ลูกค้าจะเข้าร้านก็น้อยลงและโอกาโอกาสปิดการขายก็จะน้อยลงตามไปด้วย

ดังนั้น ถ้าจะเลือกทำเลสำหรับการค้าขายถ้าเงินถึงแนะให้เลือกทำเลหลักเลยดีกว่า อยู่หลบ ลูกค้าก็ไม่เห็นขายของก็ยาก กำไรไม่พอรายจ่ายโอกาสขาดทุนสูง โดยส่วนตัวแนะนำว่า ถ้าหาทำเลดี ๆ ไม่ได้ แต่เช็คตามกลุ่มผู้สนใจใน Facebook แล้วว่า มีจำนวนที่มากพอ ก็ขายออนไลน์ไปก่อนก็ได้ไม่ต้องเช่าหน้าร้าน

จะเห็นว่า ทำเลมีความสำพันธ์สัมพันธ์กับยอดขายของธุรกิจเป็นอย่างมาก ถ้าเลือกทำเลไม่ดี โอกาสในการขายก็จะน้อยละ โอกาสขาดทุนก็จะมีมากขึ้น บทความนี้ได้แนะนำตั้งแต่สินค้าของคุณคืออะไร มีคุณค่าชัดเจนหรือไม่ ลูกค้าเป็นใคร และอยู่ที่ไหน ทำเลที่เราสนใจมีกลุ่มลูกค้าหรือไม่ ยืนยันตัวเลขด้วยความสนใจในFacebook เมื่อได้ทำเลที่ดีตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้วต่อไปก็คือขั้นตอนการทำความฝันให้เป็นจริงครับผม

พอหาทำเลที่เหมาะสมได้แล้ว ก็ถึงเวลาตั้งร้าน ลงมือขายจริง เพื่อให้ได้ประสบการณ์กลับมาพัฒนาธุรกิจของเราให้ขายดิบขายดีกว่าเดิม หากใครอยากได้เคล็ดลับการทำธุรกิจดี ๆ หรือหาความรู้เพิ่มเติม ก็สามารถเข้ามาดูได้ที่ Krungsri Guru กันนะครับ

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

ฝากขาย ขายฝาก และการจำนอง ต่างกันอย่างไร

ฝากขาย กับ ขายฝาก และการจำนอง มันคนละเรื่องกันเลยนะ บทความนี้จะบอกถึงความแตกต่างของสามคำนี้ครับ

1.ฝากขาย


ฝากขาย คือ การเอาของไปฝากคนที่รู้จักหรือไม่รู้จักขายให้ เมื่อขายได้ก็แบ่งปันรายได้หรือผลกำไรกัน

2.ขายฝาก


ขายฝาก คือ การกู้ยืมเงินชนิดหนึ่ง มีกฏหมายรองรับ โดยมีการเอาทรัพย์สินมาขาย(ค้ำประกัน) ส่วนใหญ่นิยมใช้อสังหาริมทรัพย์ (จริงๆตามกฏหมาย สังหาริมทรัพย์ก็ใช้ได้ แต่ไม่ค่อยมีใครทำ มักทำในรูปแบบจำนำ ซึ่งไม่แตกต่างกัน) โดยผู้ขายฝาก(ผู้กู้) นำทรัพย์สินมาขายฝากไว้ให้กับผู้รับขายฝาก(ผู้ให้กู้) หากเป็นอสังหาริมทรัพย์ ต้องไปทำนิติกรรมขายฝากที่ สนง.ที่ดิน ไม่ใช่ทำกันเองที่บ้าน จึงจะถูกต้องตามกฏหมาย

3.จำนอง


เรื่องขายฝาก กับ จำนอง โดยใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นตัวกลาง มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องเป็นการกู้ยืมเงิน แต่ก็มีจุดต่างที่สำคัญมากอยู่จุดนึง นั่นคือ เรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์
หลายท่านคงรู้จักการจำนองแล้ว ซึ่งก็คือการที่เรากู้เงินซื้อบ้านหรือซื้อคอนโดกับแบงก์น่ะแหละ เรานำบ้านนำคอนโดไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ และผ่อนจ่ายค่างวดกับแบงก์เป็นงวดๆไป ระยะเวลาในการผ่อนยาวๆ 10 ปี 20 ปี 30 ปี ก็ว่ากันไป แต่ประเด็นสำคัญ คือ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้กู้ ผู้ให้กู้ หรือ ธนาคารเป็นเพียงผู้รับจำนอง ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่จำนอง เมื่อผู้กู้ผิดสัญญา ผู้ให้กู้ในฐานะเจ้าหนี้ ต้องติดตามทวงถามหนี้กับลูกหนี้ จนถ้าทวงไม่ไหว ก็จะดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล เพื่อขอยึดทรัพย์นำไปขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ผ่านกระบวนการของกรมบังคับคดี หากขายทอดตลาดแล้วยังไม่พอ ก็จะตามกับลูกหนี้ต่อไป หากพอและมีเงินเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ก็จะคืนให้กับลูกหนี้ และเครดิตลูกหนี้ก็จะเน่า
ส่วนการขายฝาก ประเด็นสำคัญคือ กรรมสิทธิ์ได้ถูกเปลี่ยน ณ วันจดทะเบียนขายฝากเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังให้สิทธิ์ผู้ขายฝาก(ผู้กู้) เมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน(ปกติระยะเวลาจะสั้นมาก แค่ 1 ปี แม้กฏหมายจะให้ทำได้ถึง 10 ปี) นำเงินมาชำระหนี้ กรรมสิทธิ์ก็จะกลับมาเป็นของผู้ขายฝาก แต่หากถึงกำหนดไถ่ถอน ผู้ขายฝาก ไม่มาไถ่ถอน ก็จะหมดสิทธิ์ซื้อคืนในราคาไถ่ถอนอีก กรรมสิทธิ์ถูกเปลี่ยนมือโดยไม่มีสิทธิกลับไปเป็นของผู้ขายฝากอีก โดยผู้รับขายฝาก (ผู้ให้กู้) ไม่ต้องไปดำเนินการฟ้องร้องยึดทรัพย์ขายทอดตลาดอะไรอีก

นี่คือข้อแตกต่างสำคัญ
ที่อยากจะพูดถึงจริงๆคือ ถ้าจำเป็นเดือดร้อนต้องใช้เงินจริงๆ ผมยังมองว่าการขายทรัพย์ออกไปในราคาต่ำกว่าราคาตลาดสัก 20% ยังดีกว่าการขายฝากแน่นอน เพราะขายฝาก ต้องขายในราคาต่ำประมาณ 60% ของราคาตลาด แถมโดนค่าภาษี โดนค่าธรรมเนียมเข้าไป โดนหักดอกล่วงหน้าอีก ก็เหลือเงินกลับไปแถวๆ 50% ของราคาตลาด ไหนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยรายเดือนอีก ต่างหาก สู้ขายเร็วๆ แล้วฟื้นตัวเมื่อไหร่ ค่อยไปหาซื้อทรัพย์ที่ชอบไม่ดีกว่าหรือ?

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1674236012837452&id=1437709549823434
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1674454036148983&id=1437709549823434

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคการจัดการภาษีเงินได้จากการให้เช่าให้ถูกต้อง

วันนี้จะอธิบายเกี่ยวกับภาษีเงินได้จากการให้เช่า ทั้งในกรณีที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลครับผม ได้วางแผนภาษีกันถูก

บุคคลธรรมดา


บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้ในรูปค่าเช่า ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(5) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ หักตามจริงตามความจำเป็น และหักแบบเหมา โดยมี % การหัก ดังนี้

  • บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หักได้ 30%
  • ที่ดินที่ใช้ในการเกษตรกรรม หักได้ 20%
  • ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ในการเกษตรกรรม หักได้ 10%
  • ยานพาหนะ หักได้ 30%
  • ทรัพย์สินอย่างอื่น หักได้ 10%

ในที่นี้ จะอธิบายเฉพาะกรณีหักเหมา
ยกตัวอย่าง ุหากเราให้นิติบุคคลเป็นผู้เช่าสิ่งปลูกสร้าง จะเป็นบริษัทก็ดี จะเป็น หจก.ก็ดี เมื่อเขาจ่ายค่าเช่าให้แก่เรา ทุกเดือนที่เขาจ่ายเขามีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย 5% (หากผู้เช่าเป็นบุคคลธรรมดา เขาไม่มีสิทธิและหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายนะครับ)

สมมุติต่อว่า ในรอบปีที่ผ่านมา บริษัทจ่ายค่าเช่าให้เรามา 10 เดือนๆละ 20,000 (สัญญาเริ่มเดือนมีนาคม) ทุกเดือนที่เขาจ่ายค่าเช่า เขาจะหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 5% หรือเท่ากับ 1,000 บาท ก็คือเขาจะจ่ายเงินให้เรา 19,000 พร้อมกับใบหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 1 ใบ ภายในใบหักภาษี ณ ที่จ่าย จะระบุจำนวนเงินที่จ่ายคือ 20,000 บาท และภาษีที่ถูกหัก คือ 1,000 บาท พร้อมลงวันเดือนปีที่จ่าย

สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด ก็คือ คิดว่าผู้เช่าหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว เราในฐานะผู้มีเงินได้ ไม่ต้องแสดงรายได้ค่าเช่านี้อีก ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด และที่ผิดกันมากๆ ก็คือ กรณีผู้เช่าบอกว่า เดี๋ยวออกค่าภาษีให้ ยิ่งทำให้ผู้มีเงินได้ เข้าใจผิดกันไปใหญ่ ยกจากตัวอย่างนี้ หากผู้เช่าบอกจะออกภาษีให้ โดยเขาจ่ายเงินให้เรา 20,000 เขาจะลงรายการในใบหักภาษีว่า จ่ายให้เรา 21,052.63 บาท/เดือน และหักภาษีไว้ 1,052.63 คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ภาระทางภาษีจบแล้ว ไม่มีแล้ว ซึ่งผิดถนัด

มาต่อกันดีกว่า พอปีถัดมา เราจะต้องยื่นแบบภาษี สมมุติว่า ฐานภาษีของเราอยู่ระดับ 20% แล้ว มีเงินได้อะไร ก็เอามาต่อยอดจากตรงนี้ เรารับค่าเช่ามา 10 เดือน ตั้งแต่มีนา - ธันวา ก็เท่ากับเรามีรายได้ในรอบปีภาษีนั้น = 200,000 บาท เงินได้ค่าเช่าสิ่งปลูกสร้าง หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 30% = 60,000 ดังนั้นเราจึงบันทึกเงินได้จากค่าเช่าหลังหักค่าใช้จ่าย = 140,000

ฐานภาษี 20% เท่ากับเราต้องเสียภาษีจากรายได้ค่าเช่า 28,000 แต่เนื่องจาก เราได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว 1,000 x 10 เดือน = 10,000 เราจึงต้องจ่ายเพิ่มอีก 18,000

ในกรณีที่ผู้เช่าบอกว่าเป็นผู้ออกภาษีหัก ณ ที่จายให้ ตามข้อความด้านบน ก็ต้องเอา 21,052.63 มาคิดเป็นรายได้ก่อน ไม่ใช่เอา 20,000 มาคิด ก็จะมีรายได้ 210,526.30 หักค่าใช้จ่าย 30% ก็จะเหลือเงินได้ = 147,368.41 ต้องเสียภาษี 20% = 29,473.68 แต่มีภาษีถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว 10,526.30 ก็เท่ากับจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นอีก 18,947.38

เข้าใจกันมากขึ้นแล้วนะครับ สำหรับภาษีจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์
แต่หากเรามีการแยกสัญญาเช่า เป็นการเช่าสิ่งปลูกสร้าง กับเช่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายหักเหมาได้ไม่เท่ากันนะครับ เช่าเฟอร์ หักได้แค่ 10% นะครับ คุณจะเสียภาษีเงินได้เยอะขึ้นนะ ถ้าทำสัญญาแยกการเช่า
และสุดท้าย หากเราต้องการได้รับค่าเช่าสุทธิหลังหักภาษีที่ 20,000 บาท มีวิธีคิดอย่างไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ มาดูกัน

การปล่อยเช่าให้กับนิติบุคคล


มาต่อเรื่องเมื่อวานกันอีกนิด ปิดท้ายเรื่องการปล่อยเช่าให้กับนิติบุคคล
โจทย์มีอยู่ว่า เราต้องการค่าเช่าสุทธิหลังเสียภาษี 20,000 บาท โดยเรามีฐานภาษีอยู่ที่ 20% หากเราปล่อยเช่าให้กับนิติบุคคลที่ 20,000 บาท เราจะต้องเสียภาษี = 20,000 หักค่าใช้จ่าย 30% แล้วคิดภาษี 20% จากรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย

ดังนั้น 20,000 หัก 30% ก็จะเหลือ 14,000 เอา 14,000 คูณ 20% = 2,800 เท่ากับเราเหลือค่าเช่าสุทธิ = 17,200 นั่นคือเราจ่ายภาษีไปสุทธิ 14% จากรายได้ (14% = 14/100 = 0.14)
เวลาเราต้องการหาตัวเลขค่าเช่าที่เมื่อหักภาษีแล้ว เราจะได้ค่าเช่าสุทธิตามที่เราต้องการ ก็คำนวณโดยเอา 1 มาลบ 0.14 แล้วเอาไปหารค่าเช่าที่เราต้องการ
1.0-0.14 = 0.86
20,000/0.86 = 23,255.81
23,255.81 คือ ตัวเลขค่าเช่าที่เราต้องคิดกับผู้เช่า

พิสูจน์ 23,255.81 หักค่าใช้จ่าย 30% จะเหลือ 16,279.07 เสียภาษี 20% จากยอด 16,xxx = 3,255.81
เพราะฉะนั้น เราจะได้เค่าเช่าสุทธิ = 23,355.81-3,255.81 = 20,000 พอดี
แต่ตอนที่ผู้เช่าจ่ายค่าเช่า เค้าจะจ่ายเราที่ 23,255.81 หัก ณ ที่จ่าย 5% เราจะต้องกันเงินไว้เองอีก 9% ไว้จ่ายภาษีด้วยนะครับ
หลายท่านอาจงง เอางี้นะ ผมจะให้ตัวเลขไว้เอาไปหารค่าเช่าที่ท่านต้องการตามฐานภาษีดังนี้


  • ฐาน 5% ใช้ตัวเลข 0.965
  • ฐาน 10% ใช้ตัวเลข 0.93
  • ฐาน 15% ใช้ตัวเลข 0.895
  • ฐาน 20% ใช้ตัวเลข 0.86
  • ฐาน 25% ใช้ตัวเลข 0.825
  • ฐานสูงกว่านี้ ผมว่า ใช้นอมินีเถอะ


หลัวว่าจะได้ความรู้ไปวางแผนภาษีได้ถูกต้องนะครับผม

www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1675742076020179&id=1437709549823434
www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1676085005985886&id=1437709549823434

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

สรุป Business Model Canvas ใน 3 รูป

Business Model Canvas เป็นกรอบแนวคิดในการออกแบบโมเดลธุรกิจที่ดูดีในยุคปัจจุบัน ธุรกิจแทบไม่ต้องผลิตสินค้าอะไรกันแล้ว เหลือแค่นำเสนอสินค้าและบริการอะไรให้โดนใจลูกค้าเท่านั้นเอง

สำรับภาพประกอบ ทำโดยคุณน้ำเจ้าของเว้บ Businessmodelrecipe แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยได้ยอดมาก ใครสนใจเรียนกะเขาก็เข้าตามเว็บเลย

1.ออกแบบคุณค่าที่ส่งมอบให้ลูกค้า Value proposition


ธุรกิจส่วนใหญ่ตกม้าตายตรงนี้นี่เอง ผลิตสินค้าที่ตัวเองต้องการแต่ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า การออกแบบ business model เราต้องลองมองในสองมุม

มุมมองลูกค้า


  • กลุ่มเป้าหมายมีงานที่ต้องทำอะไรบ้าง 
  • พึงพอใจอะไร
  • มีปัญหาอะไรกับชีวิตบ้าง

มุมมองเจ้าของ

  • สินค้าเราคืออะไร
  • สร้างความพึงพอใจอะไรให้ลูกค้าเพิ่มข
  • และแก้ปัญหาอะไร
ออกแบบความต้องการลูกค้าดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ทำตลาดก็ง่าย


2.ออกแบบ Business Model Canvas


ถ้าข้อ 1 ชัดจะออกแบบข้อสองง่ายละ คือ ทำอะไร ให้ใคร อย่างไร

อะไร



  • คุณค่าที่ส่งมอบ

ใคร

  • กลุ่มลูกค้า
  • ช่องทาง
  • การสร้างความสัมพันธ์

อย่างไร

  • กิจกรรมหลัก
  • ทรัพยากรหลัก
  • คู่ค้า

รายได้รายจ่าย




ออกแบบ Business Model You


เดี๋ยวนี้เจ้าของต้องมาเป็นแสดงแบรนด์ให้ชาวบ้านรับรู้ ก็ต้องออกแบบด้วย


สรุปว่ามันเยี่ยมจริง

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

5 เคล็ดลับเก็บเงินของคุณพ่อคุณแม่

5 เคล็ดลับเก็บเงินของคุณพ่อคุณแม่

พ่อแม่ทุกคนอยากเลี้ยงให้ลูกเติบใหญ่เป็นคนดีของสังคม แต่การมีลูกโดยไม่วางแผนทางการเงินที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาครอบครัวในอนาคต เนื่องจากการเลี้ยงดูลูกให้ดีต้องทุ่มเทค่าใช้จ่ายและเวลาสูง เมื่อรายได้เริ่มไม่พอกับรายจ่าย หลายครอบครัวอาจเริ่มหาเงินโดยการเป็นหนี้เป็นสิน ปัญหาเยอะ ๆ เริ่มก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งจนหลายครอบครัวต้องหย่าร้างกันไป ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด คือ ควรวางแผนทางการเงินให้ดีตั้งแต่ต้น ดังนี้

1.การทำบัญชีรายรับรายจ่าย


การมีลูก 1 คน ประมาณการคร่าว ๆ ว่า จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นขั้นต่ำ ประมาณเดือนละ 10,000 บาท ตั้งแต่เกิดจนถึงจบปริญญาตรี ถ้าทั้งคู่ยังมีรายได้เท่าเดิมแสดงว่า ทั้งพ่อและแม่ต้องวางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุมเพื่อให้มีเงินมาเลี้ยงครอบครัวและดูแลลูกให้เติบโตอย่างไม่มีปัญหา จะมาใช้จ่ายตามใจฉันแบบอดีตไม่ได้แล้ว

ดังนั้น การทำบัญชีรายรับรายจ่าย เป็นเครื่องมือช่วยให้วางแผนทางการเงินได้ง่ายขึ้น เพราะจะทำให้รู้ว่า รายได้มาจากทางไหนบ้าง และเงินหายไปกับอะไร สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อว่าค่าใช้จ่ายนั้นเหมาะสมหรือไม่

นอกจากการทำบัญชีรายรับรายจ่ายแล้ว การนำระบบงบประมาณมาใช้จะช่วยให้จดบันทึกและ ควบคุมเงินให้ใช้จ่ายตามแผนที่วางไว้ได้สะดวกมากขึ้น เมื่อมีรายได้เข้ามาก็จัดเงินเป็นส่วน ๆ และคุมงบประมาณให้อยู่ในงบที่จัดไว้ตัวอย่างในภาพเป็นการจัดงบประมาณการใช่จ่ายรายวันแบ่งเงินมาใช้ประจำวันโดยมาแยกเป็นซอง ๆ ตามวัน ถ้าไม่เกินงบก็จะมีเงินเหลือเก็บ


ตัวอย่างการจัดสรรเงินโดยการแบ่งเงินเป็นส่วนๆ
ที่มา http://teen.mthai.com/variety/94313.html


2.วางแผนการทำประกัน


สำหรับคนมีครอบครัว เรื่องของการเบิกค่ารักษาพยาบาลก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวางแผน เพราะถ้าลูกป่วยครั้งหนึ่ง แล้วจำเป็นต้องนอนที่โรงพยาบาล จะมีค่าใช้จ่ายเป็นหมื่นบาทอย่างต่ำ ๆ ถ้าเลือกทำประกันที่มีเงื่อนไขสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ก็จะสามารถช่วยบรรเทารายจ่ายฉุกเฉินให้เบาบางลงได้ ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสินให้ต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน และแผนทางการเงินที่วางไว้ทั้งหมดก็จะเสียหายตาม

นอกจากนั้น การทำประกันยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเรื่องของการออมเงินได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะสามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อประกันมาลดหย่อนภาษีได้ เหมือนนำเงินภาษีที่เราจ่ายไปคืนมาเป็นรายได้ ถ้าเป็นประกันชีวิตพอครบกำหนดก็จะคืนเงินกลับมาให้ และหลายผลิตภัณฑ์มีการจ่ายผลตอบแทนที่ดีเลยทีเดียว

3.วางแผนการลงทุน

ตารางการวางแผนการเงิน

ในการวางแผนทางการเงินสำหรับครอบครัว นอกจากการวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว ต้องมีการวางแผนการลงทุนให้เงินงอกเงยออกดอกออกผลเลี้ยงตัวเองยามแก่เฒ่าในอนาคตที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว เงินก้อนนี้จะได้เป็นมรดกให้ลูกหลานต่อไป แต่การลงทุนเป็นเรื่องของการวางแผนในระยะยาว ในช่วงแรก ๆ อาจไม่ค่อยเห็นผลอะไร เพราะเงินน้อยแต่ระยะยาวด้วยมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้น เงินลงทุนของเราจะเติบโตจนเลี้ยงเราได้

จากตาราง ถ้าเราลงทุนเดือนละ 2,000 บาท ผลตอบแทน 10% ต่อปี เพื่อให้มีผลตอบแทนเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ 9,000 บาท ต้องใช้เวลาถึง 18 ปี เพื่อจะมีเงินลงทุนเริ่มต้น 1,080,000 บาท แต่จะเห็นว่า ในระยะเวลาเพียง 4 ปี ด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้นทำให้ระดับเงินเดือนยกฐานจาก ค่าแรงขั้นต่ำเป็น เงินเดือนปริญญาตรีพอดี ถ้ามีการสอนลูกสอนหลานให้รู้จักลงทุนตั้งแต่เด็ก ๆ ลูก ๆ ทำงานและลงทุนต่อจนถึงอายุ 41 ปีก็สามารถเกษียณด้วยรายได้ระดับกรรมการผู้จัดการ รายได้เดือนละ 100,000 บาทได้

ในเรื่องของการลงทุนถ้าไม่ถนัดลงทุนเอง สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ โดยเลือกลงทุนกองทุนที่นำเงินจากผู้ลงทุนไปลงในตราสารที่ตรงกับวัตถุประสงค์ผลตอบแทนและความเสี่ยงของผู้ลงทุน

4.สอนลูกเรื่องการเงิน


แผนการที่วางไว้ทั้งหมดจะพังทันทีถ้าคนในครอบครัวโดยเฉพาะลูกใช้เงินแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ไมรู้จักการออมเงินและลงทุน เรื่องการออมนี้ต้องสอนตั้งแต่ยังเด็ก ๆ ให้เป็นนิสัย โดยพ่อแม่ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้ลูก จุดสำคัญที่สุดคือคนเป็นพ่อแม่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก มีการวางแผนการใช้เงิน มีวินัยในการใช้จ่ายและออมเงิน อาจสอนลูกเรื่องการออมเงินโดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ  ที่สอดแทรกความรู้เรื่องการเงินและการลงทุน

5.เพิ่มรายได้


สมัยก่อน การทำธุรกิจส่วนตัวอาจเป็นเรื่องไกลตัว เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูง เวลาจะปลีกตัวไปทำงานก็ไม่มี แต่ปัจจุบัน จากเทคโนโลยีครอบคลุมมากขึ้น และราคาถูกลง ทำให้การเริ่มต้นธุรกิจทำได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะการซื้อขายออนไลน์ที่มีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวก็สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้แล้ว ถ้าธุรกิจอยู่ตัวสามารถทำมาค้าขายพร้อมกับดูแลลูกอยู่ที่บ้านได้เลย

การวางแผนทางการเงินสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่เป็นเหมือนการเดินทางระยะยาว ไม่สามารถทำ ๆหยุด ๆ ได้ ดังนั้น การทำให้การจัดการทางการเงินของครอบครัวสำเร็จได้ต้องมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า และต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจกันจากทุกคนในบ้าง ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ รวมไปถึงคุณลูกด้วย เมื่อวางแผนดี ๆ ชีวิตครอบครัวก็จะมีความสุข

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

การแข่งขันอุตสาหกรรม net idol

หลังจากติดตาม net idol มาหลายๆคน พบว่าการเติบโตของ net idol สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสือสาร พฤติกรรมผู้บริโภค และอุตสาหกรรมสื่อ รวมไปถึงเม็ดเงินโฆษณาที่จะลงมาทางสื่อออนไลน์ด้วย

1.โครงสร้างรายได้


ที่ใดมีคนที่นั่นมีเงิน net idol ที่มีคนตามเยอะๆ ก็จะมีงานเข้าทั้ง รีวิวสินค้า 1 รูปได้เงินหลักหมื่นถึงหลักแสนตามยอด like ของ net idol แต่ละคน รวมถึงการออกงานต่างๆ เช่นเปิดตัวเครื่องสำอางค์ ก็จะเชิญ net idol ไปด้วยให้โปโมทที่ fanpage ตัวเอง หรือจะขายของออนไลน์ รับงานพริตตรี้ ถ่ายแบบ ฯลฯ

น้องอสริส ตัวอยางการรีวิวสินค้า
www.facebook.com/alice.karbdecho
สำหรับการรีวิวสินค้า เคยคุยกับเจ้าของแบรนที่จ้าง netidol ช่วยโปรโมทก็ถือว่าได้ยอดขายมาดีใช้ได้ และมีลูกค้าซื้อซ้ำบางส่น

น้องเชอรี่ กับงานอีเว้นโปรโมทหนัง
facebook.com/cherry3kok
ภาพนี้เป็นงานโปรโมทหนังอวสานโลกสวย มีเชอรี่สามโคกแสดงด้วย

2.แนวโน้มอุตสาหกรรม


จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอินเตอร์เน๊ตที่เร็วขึ้น ต้นทุนถูกลง และกระจายวงกว้างมากขึ้น คนมีแนวโน้มเปลี่ยนจากดูทีวีมาจิ้มหน้าจอมือถือมากขึ้น เพราะสามารถเลือกเสพข้อมูลข่าวสารได้ตามต้องการ ไม่ต้องรอสื่อยัดเยียด
สื่อทีวีเติบโตลดลง สื่อออนไลน์เติบโตมากขึ้น net idol ก็เติบโตตามสภาพอุตสาหกรรมเพราะ เป็นคอนเท้นที่น่าสนใจ เนื้อหาหลากหลายตามความชำนาญของแต่ละบุคคล บางคนเน้นโชวนม บางคนโชว์ตลก บางคนเน้นการเมือง การลงทุน ฯลฯ ใครมีจุดเด่นก็คนตามเยอะ ธรรมดาคนก็ลืมๆกันไป เกิดดับเป็นช่วงๆไป อนาคตผมก็ยังไม่รู้ว่าอะไรจะมา

3.สภาพการแข่งขัน


อุตสาหกรรมเติบโตดี และรายได้สูง แต่ก็แข่งขันสูงตามเพาะคู่แข่งเยอะเข้าออกง่าย สินค้าทดแทนก็เยอะ อำนาจต่อรองก็มาก อำนาจต่อรองsupplierก็สูงขึ้นถ้าไม่จ่ายเงินการเห็นของผู้ติดตามก็ลดลง มองว่าระยะยาวรายได้คงไม่สูงเหมือนปัจจุบัน

3.1การแข่งขัน


อุตสาหกรรมนี้แข่งขันกันสูง แต่จากการสังเกต net idol ละคนจะมีกลุ่มลูกค้าเป็นของตัวเอง เช่นน้องมันแกว นมคุณธรรม ก็จะจับกลุ่มลูกค้า ชอบนมและเรื่องการเมือง

น้องมันแกว นมคุณธรรม
ที่มา www.facebook.com/ehodkaw
บางคนก็จับกลุ่มคนชอบกีฬาเช่น น้องมะนาว มณียา ฟักโต จับกลุ่มแฟนคลับ ลิเวอร์พูล

น้องมะนาว
www.facebook.com/manawliverpool

3.2 การเข้ามาของคู่แข่งใหม่


เพราะใครๆก็สามารถสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ได้ เปิดเฟสโพสคอนเท้นไปเรื่อยๆ อุปกรณ์มีแค่กล้องดีๆ กับแอพมือถือ ที่ราคาลดลงเรื่อยๆ มาเร็วไปเร็ว

3.3สินค้าทดแทน


เพี่ยบ ทั้งคอนเท้นที่คล้ายๆกัน และสื่ออื่นๆ

3.4อำนาจต่อรองลูกค้า


สินค้าทดแทนเพียบลูกค้าจะไปตามคนไหนก็ได้ตามจริตเลย

3.5อำนาจต่อรองsupplier


ผมว่าเดี๋ยวนี้ อำนาจต่อรองsupplier สูงขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ที่ให้แสดงผลงานเช่น facebook instragram ฯลฯ มันจะหาช่องเก็บเงินเราเรื่อยๆ เช่น เปิด fanpage ถ้าไม่จ่ายเงินโฆษณาคนก็ไม่เห็นเป็นต้น หรือจะทำเว็บก็ต้องทำ seo แข่งกับเว็บอื่นๆ

โดยสรุป net idol เป็นคอนเท้นหนึงที่กำลังเติบโต รายได้ดีเพราะคนตามเยอะ แต่การแข่งกันก็สูงตาม เม็ดเงินโฆษณาก็มาลงที่สื่อนี้เยอะขึ้นเพราะวัดผลได้ง่ายดี ส่วนอนาคตยังต้องดูต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

ลาออกมาทะธุรกิจส่วนตัวดีมะ


เวลามีคนมาปรึกษาว่าจะลาออกมาทำธุรกิจ
ถ้าถามเหตผลแล้วบอกว่าลาออกเพราะ "เบื่องาน"
ส่วนใหญ่ผมจะให้ทำงานต่อไป เจ้งชัวร์

เพราะถ้าลาออกแล้ว ธุรกิจส่วนตัว "เบื่องาน" หนักกว่าเดิมอีก
ช่วงแรกๆ ต้อง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ทั้งวัน ลาก็ไ่ม่ได้เพราะค่าเช่าที่ ดอกเบี้ย ค่าแรงลูกน้อง เดินทุกวัน สต็อกขายไม่ออกก็เสื่อมค่า

แต่ถ้าจะออกมาเพราะมีไอเดียธุรกิจกิจ สินค้าเราแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ เริ่มหาลูกค้าเป้าหมายเรียบร้อย วางลู่ทางไว้บ้างแล้ว แค่ขาดความกล้า ค่อยน่าคุย

สู้ๆครับนักธุรกิจทุกท่าน