วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เทคนิคเลือกสือลงประชาสัมพันธ์

ทุกวันนี้ในการทำธุรกิจของผมนอกจากต้องพัฒนาตัวเองให้ปรับตัวทันกับกระแสของการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปแล้วสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ผมต้องทำคือการให้ความรู้กับลูกค้าเพื่อลบล้างความเชื่อเก่าๆ ในการใช้สื่อเพราะมันใช้ไม่ได้ได้แล้วกับผู้บริโภคสมัยนี้

มันมีความเชื่อผิดๆ อยู่หลายอย่างแม้กระทั่งนักการตลาดเก่งๆ เจ๋งๆบางครั้งก็ยังตกหลุมพรางความเชื่อนี้หลายครั้งเวลาผมไปเสนองานลูกค้ามักจะถามว่า คุณทำให้เป็นข่าวลงไทยรัฐได้ไหมเพราะเค้าเชื่อว่า ไทยรัฐเข้าถึงคนได้มากที่สุดการได้ลงข่าวในไทยรัฐ ถือว่าสุดยอดแล้วถูกครับ ไทยรัฐยอดขายสูงสุด เข้าถึงคนมากสุดหากคุณจะลงโฆษณา ไทยรัฐคือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับแมสโปรดักส์ ที่จะเข้าถึงคนทั่วประเทศเรียกว่า นสพ.รายวัน ยังไงโฆษณายังต้องไทยรัฐ

แต่สำหรับการประชาสัมพันธ์ การเป็นข่าวในหน้าเศรษฐกิจไทยรัฐมันไม่ได้ทรงพลัง เข้าถึงผู้อ่านข่าวมีผลต่อผู้บริโภคมากและเหมือนโฆษณานะครับลองคิดตามดีๆ นะครับคนกลุ่มไหนที่ซื้อไทยรัฐอ่านและคนอ่านไทยรัฐ อ่านข่าวอะไรอันดับแรก หน้าหนึ่ง อาชญากรรม การเมืองลองลงมา กีฬา และตามมาด้วยบันเทิงคนอ่านไทยรัฐกว่า 70-80% อ่านเนื้อหาข่าวเหล่านี้เป็นหลักครับข่าวเศรษฐกิจในไทยรัฐคืออันดับท้ายๆ ของเซ็คชั่นทั้งหมดในไทยรัฐที่คนอ่าน

คุณลงโฆษณาในไทยรัฐเซ็คชั่นกีฬา บันเทิงหรือหน้าหลักอื่นๆ คนอ่าน คนเห็นเป็นล้านแต่เป็นข่าวในหน้าเศรษฐกิจ คนอ่านหลักหมื่นเพราะเป็นเซ็คชั่นที่คนอ่านน้อยมากไม่ใช่หน้าเศรษฐกิจไทยรัฐข่าวไม่ดีนะครับแต่เพราะกลุ่มคนอ่านไทยรัฐที่เป็นคนส่วนใหญ่เค้าไม่อ่านข่าวเศรษฐกิจกันครับ

ที่นี้เข้าใจหรือยังครับ ว่าทำไมผมถึงบอกว่าความเชื่อที่ว่า ...การมีข่าวธุรกิจในหน้าเศรษฐกิจไทยรัฐนั้นสุดยอดเป็นเรื่องของความเชื่อที่ผิดพอมองภาพออกแล้วใช่มั๊ยครับ

ยกตัวอย่างอีกเคสนึงง่ายๆการเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวันกับการเป็นข่าวในเว็บไซต์ manager.co.thโดยความเชื่อดั้งเดิมคือการได้มีข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับกระดาษถือว่าประสบความสำเร็จ
ส่วนการลงข่าวในเว็บไซต์นั้นเป็นผลพลอยได้แต่ความเป็นจริงคืออะไรรู้มั๊ยครับ ASTVผู้จัดการรายวัน ยอดผู้อ่านจริงๆ ในแต่ละวันน่าจะอยู่ราวๆ หลักหมื่นกลางๆด้วยความเป็น นสพ.ธุรกิจและการเมืองเลยมีกลุ่มค่อนข้างเฉพาะ และกระจุกตัววางขายเฉพาะในเมืองหลักๆแต่ในทางกลับกัน เว็บ manager.co.th
มีคนเข้าวันนึงเป็นหลายๆ แสนถือเป็นเว็บไซต์ข่าวที่คนดูมากที่สุดของประเทศการมีข่าวในเว็บไซต์จึงเข้าถึงคนอ่านได้มากกว่านสพ.หลายสิบเท่าแต่เชื่อมั๊ยครับ ทุกวันนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ยังถามทำไมมีข่าวแต่ในเว็บ ไม่เห็นมีลงใน นสพ.เลยในเว็บไม่ต้องก็ได้นะ เราไม่นับเป็นผลงาน

นี่แสดงถึงความเชื่อผิดๆที่เชื่อกันมาโดยไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเลยว่าทุกวันนี้ เค้าเสพสื่อไหน ยังไง ด้วยช่องทางใดเรียกว่าจำสืบทอดกันมาในตำราเค้าว่าไว้งี้ ฉันก็ว่ากันตามนี้เพราะฉันไม่เคยคิดต่อ และไม่เคยรู้เลยว่าตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปถึงไหนกันแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือหน้าที่ผมที่ผมจะต้องไปให้ความรู้กับลูกค้าผมแต่การเปลี่ยนความเชื่อคน ที่เค้าเชื่อต่อๆ กันมานี่มันเป็นงานยากมากๆ ครับยิ่งกับพวกที่เป็นมืออาชีพ ใช้งบ แต่ไม่ใช่เงินของตัวเอง ยิ่งเปลี่ยนยากเพราะเงินที่เสียไปทุกบาท มันไม่ใช่เงินเค้า
ใช้ได้ผลมากน้อย มันไม่กระทบอะไรกับเค้าแต่ถ้าใช้แล้วไม่มีเครื่องมือทางทฤษฎีมาอธิบายอันนี้มันกระทบพวกเค้าแน่ก็ใช่ซิครับ มันจะเอาอะไรมาอธิบายพฤติกรรมผู้บริโภคแบบนี้มันเพิ่งเกิดขึ้นใน 1-2 ปีนี่เองยิ่งในเมืองไทย ยิ่งเป็นเรื่องที่ใหม่เอามากๆทฤษฎีวิชาการอะไรมันก็ยังไม่มีอ้างอิงแน่ครับ
ต้องรออีกอย่างน้อย 5-10 ปีถึงจะมีคนเอาเรื่องแบบนี้ไปเขียนอธิบายเชิงวิชาการแต่เชื่อผมเถอะครับ
เมื่อถึงวันนั้นที่มีทฤษฎีเชิงวิชาการเหล่านี้มารองรับธุรกิจ ที่มีมืออาชีพเหล่านี้บริหารที่ปรับตัวไม่ทันกระแสของโลกแบบนี้ก็เจ๊งปิดตัวกันไปหมดแล้วครับเพราะปรับตัวไม่ทัน และหว่านเงินมหาศาล
แต่เข้าถึงผู้บริโภคน้อยถึงน้อยมากนี่คือเรื่องจริงนะครับ ไม่ใช่เล่นๆลองเอาไปคิดกันดูครับ...ว่าจริงหรือไม่จริง
(สงสารก็แต่เจ้าของธุรกิจ ที่จ้างนักการตลาดหัวโบราณเหล่านี้มาบริหารเท่านั้นแหล่ะครับ)

https://www.facebook.com/chatchaitalk/photos/a.325685784291492.1073741828.319663624893708/353527204840683/?type=1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น