พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล[1] วิสัยทัศน์ หรือ "Vision" เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากสำหรับผู้นำและผู้บริหารที่เก่ง...เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างได้แค่เพียงชั่วข้ามคืนหรือเรียนรู้จากตำรับตำราต่างๆ...จะมีหรือไม่มี จะมากหรือจะน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัยวุฒิหรือชาติพันธ์ุ ผู้ใหญ่หรือเด็ก การศึกษาสูงหรือต่ำ...แต่ขึ้นอยู่กับความกล้าที่จะคิด ทีีี่จะเปลี่ยนเแปลง กล้าที่จะลืมความสำเร็จและความเชื่อในอดีต กล้าที่จะมองไกลและกว้างกว่าความเป็นจริง แม้สิ่งเหล่านั้นจะยังไม่เกิดขึ้น หรือหลายคนยืนยันว่า "มันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม"...
ผู้บริหารต้องมี Vision |
ต้องคิดต่อจาก Visions ให้เป็น "Missions and Actions" ให้ได้จึงจะไม่เป็นแค่ความฝัน....แม้ว่า ความคิดก้าวหน้าหรือความกล้ามองก้าวไกลของผู้นำหรือผู้บริหารเป็นสิ่งที่ดี..แต่ถ้าปราศจากรายละเอียด ทิศทางที่ชัดเจนหรือสิ่งที่ปราถนาจะดำเนินการ เราคงจะไม่อาจเรียกว่า "วิสัยทัศน์" ได้ เพราะทุกอย่างคงจบลงเพียง "เรื่องราวในความฝัน ที่เมื่อตื่นขึ้นก็กลับเข้าสู่สภาพเดิม แม้เราจะเฝ้าโหยหามากน้อยเพียงใด มันก็ไม่สามารถทำให้เกิดเป็นจริงได้"...
จาก Vision สู่ Mision |
วิบูลย์ จุง [2] Mission ไม่ได้มากจาก Miss ที่แปลว่าผิดพลาด หรือ ผู้หญิงโสด แต่มันเป็นคำเฉพาะ แปลว่า หน้าที่การงาน คณะทูต หรือ การเผยแผ่ศาสนา แต่แปลเป็นไทยว่า พันธกิจ
พันธกิจ มาจาก พันธะ หรือ ความผูกพัน กับคำว่า กิจ แปลว่า หน้าที่การงาน รวมแล้วก็น่าจะหมายถึง งานที่มีความผูกพันต่อเนื่องกับวิสัยทัศน์ ในเชิงการบริหารจัดการมากกว่า โดย ทั่วไปแล้ว พันธกิจ จะบอกถึงสิ่งที่องค์กรกำลังทำอยู่ในปัจจุบันมากกว่า ช่วยทำให้เรารู้ว่าเราคือใคร (Who we are?) และกำลังทำอะไร (What we do?)
บาง คนก็เข้าใจว่า พันธกิจ หรือหน้าที่ของเขา คือ ทำกำไร ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาพูด ทั้งนี้ สิ่งที่จะเป็นพันธกิจขององค์กรถึงแม้นจะไม่ใช่การทำกำไรโดยตรง แต่หากทำแล้วองค์กรก็จะมีกำไรตามมา แต่บางองค์กรไม่ใช่องค์กรแสวงหากำไร แล้วพันธกิจของเขาคืออะไร??? อันนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน
พันธกิจถ้า จะเขียนให้ดี ต้องรู้ว่า ลูกค้าจริงๆของเราเป็นใคร ความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างไร รู้ว่าเราเป็นอย่างไร และ จะทำอย่างไรเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทำอย่างไรถึงจะสามารถสนับสนุนการขาย ทำอย่างไรถึงจะให้คู่แข่งตามไม่ทัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของทั้งองค์กรของทุกคน
จริงๆแล้ว กฎการเขียนก็คงไม่ตายตัวสักเท่าไหร่ แต่เวลาหาข้อมูลไปลึกๆเข้าก็จะพบว่า “Peter Drucker” ปรมาจารย์ด้านการจัดการของโลก เคยระบุไว้ว่า โดยส่วนใหญ่แล้วพันธกิจขององค์กรๆ หนึ่งมักจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบด้วย 9 ประการ คือ
1. ลูกค้า
เป็นการ แจกแจงว่า ลูกค้าของเราเป็นใคร ซึ่งก็จะมีทั้งแนวทางการหาลูกค้า ในกรณีลูกค้าไม่ประจำ หรือ องค์กรที่เน้นลูกค้าเป็นหลัก ก็จะพูดถึงความพึงพอใจของลูกค้า
2. สินค้าและบริการ
เป็น การดูว่า สินค้า และ บริการ ของเราเป็นสินค้าประเภทใด ซึ่งก็มุ่งประเด็นไปตรงกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย หรือ ชูประเด็นให้เห็นถึงมุมมองของสินค้าและบริการที่เป็นเอกลักษณ์ขององค์กร จริงๆ
3. ตลาด (ตามภูมิศาสตร์แล้ว องค์กรเข้าไปดำเนินการแข่งขันในบริเวณใดบ้าง?)
นอก จาก ตลาดจะอยู่ที่ใดตามภูมิศาสตร์แล้ว องค์กรยังมีการตลาด แนวทางการตลาด วิธีที่ใช้ในการตลาด ไม่ว่า จะเป็นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือ กลวิธีที่จะส่งผลอย่างไรเพื่อให้วิสัยทัศน์ได้บรรลุเป้าหมายได้จริง
4. เทคโนโลยี
องค์กร ใช้เทคโนโลยี อย่างไร หรือมี นวัตกรรมอะไรเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงหรือสร้างสรรงานใหม่ๆ หรือ องค์กรมุ่งเน้นทางด้านนวัตกรรมมากน้อยเพียงใด
5. การคำนึงถึงการอยู่รอด เติบโต และผลกำไร
ซึ่ง เรื่องนี้แทบจะต้องมีในทุกๆองค์กรเลยก็ว่าได้ เพราะว่าเป็นหัวใจของธุรกิจเลยว่า ต้องอยู่รอดได้ ต้องมีกำไร ต้องเติบโต ให้ทันกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
6. ปรัชญา
ปรัชญา จะบ่งบอกถึง ความเชื่อ ความเป็นองค์กร วัฒนธรรมองค์กร คุณธรรม จริยธรรมขององค์กร รวมไปถึง ค่านิยมขององค์กรว่า ภาพรวมขององค์กรที่สำคัญๆ และส่งผลให้ วิสัยทัศน์ ฉายแววแห่งความสำเร็จนั้น มีพื้นฐานต่างๆอย่างไร
7. ความแตกต่าง
การ สร้างความแตกต่างก็เพื่อให้องค์กรมีจุดยืนพิเศษ เพื่อให้เหนือคู่แข่งขัน หรือ ให้มีความแตกต่าง เป็นจุดเด่น เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจในตัวองค์กรขึ้น ทั้งนี้เราจะต้องเลือกเฉพาะความแตกต่างที่สร้างสรรที่จะนำพาให้องค์กรประสบ ความสำเร็จเป็นเกณฑ์เท่านั้น
8. การคำนึงถึงสังคม
บาง องค์กร บางหน่วยงาน ให้ การคำนึงถึงสังคม ต่อชุมชน หรือ ต่อสิ่งแวดล้อมเป็นตัวชูโรงว่า ตนนั้นทำเพื่อสังคม ทำเพื่อประชาชน เพื่อให้ภาพลักษณ์ดูดี เป็นการทำ PR อย่างหนึ่ง ทั้งนี้ ต้องมั่นใจ หรือ ทิศทางที่ชัดเจนจริงๆ ถึงจะใช้ในลักษณะนี้ การใช้แค่สร้างภาพเพียงอย่างเดียวอาจจะทำให้ คนทำงานสับสนกับองค์กรได้
9. การคำนึงถึงบุคลากร
องค์กร ที่คำนึงถึงบุคลากรเป็นหลัก เมื่อลงข้อนี้พนักงานจะมีความเชื่อมั่นในองค์กรมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความจริงใจ การพัฒนาบุคลากรอย่างเต็มที่ เต็มประสิทธิภาพ จะทำให้ ผลงานที่ได้รับออกมาดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว เฉพาะองค์กรที่มีจำนวนพนักงานมากๆเท่านั้น ถึงจะกล่าวในจุดนี้ เพื่อดึงใจพนักงานให้สูงขึ้น แต่หากไม่ดำเนินตามที่เขียนไว้ บางทีก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้เช่นกัน
ส่วนตัวผม (วิบูลย์ จุง) ผมก็จะเพิ่มหัวข้อเหล่านี้เข้าไปด้วยในกรณีบางองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ไม่ใช่เก่งกว่า Perter Drucker แต่เพราะว่ามันใช้งานจริง จึงเห็นสิ่งที่ควรจะเพิ่มก็เท่านั้น
10. เป้าหมายการดำเนินงาน
เพื่อ ให้การทำงานเด่นชัดมากขึ้น การดำเนินงานจึงต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน รู้ว่าทำไปแล้วได้อะไร เพื่ออะไร แล้วจะส่งผลอย่างไรกับองค์กร
11. ทีมงาน และ สายสัมพันธ์
เพื่อ มุ่งเน้นการทำงานเป็นทีม ไม่ว่าจะเป็นทีมเล็ก ทีมใหญ่ หรือ ทีมทั้งหมดที่เป็นองค์กร ทั้งนี้ เมื่อระบุในพันธกิจ ก็จะหมายถึง การสร้างนโยบายในเชิง ทีมงาน เป็นหลักด้วย
ทั้งหมดเป็นเพียงแนวทาง การเขียน Mission หลักๆเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีหลักการตายตัวในการเขียน เพียงแต่เมื่อเขียนแล้วขอให้สามารถสื่อสารคนภายในองค์กรได้จริง มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพื่อให้บรรลุ วิสัยทัศน์ ที่ได้ตั้งขึ้นมา
ถ้ามี พันธกิจ แล้วไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เริ่มต้นไม่ถูกไม่รู้จะให้แผนกไหนทำอะไรบ้าง ลองใช้แบบจำลอง Value chain ของ Michael E porter เขาจัดช่องไว้ให้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาคิดสะเปะสะปะ
Value chain |
ถ้าสมัยใหม่หน่อยก็จะใช้กรอบแนวคิดชื่อ business model canvas จะเหมาะกับธุรกิจยุคใหม่ที่เน้นการทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน และการตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
business model canvas |
ต่อไปก็มาเขียน action plan ชี้ให้ชัดว่าจะทำอะไร อย่างไร แบ่งให้ใครรับผิดชอบ และจะทำเมื่อไร
อ. พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล เขียนเกี่ยวกับความสำคัญของการแบ่งงานกันทำไว้ว่า "คนทำงานไม่เป็น" จะรวบอำนาจและการตัดสินใจไว้ที่ตนทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจมักจะคิดและมอบหมายงานเพียงลมปาก โดยปราศจากการตรึกตรองถึง บทบาทอำนาจหน้าที่และองคาพยบที่จำเป็นของผู้ที่ได้รับมอบหมาย...ที่สำคัญจะพึงตามหาแต่ผู้รับผิดชอบและความก้าวหน้า ทั้งที่ไม่เคยให้ใครเป็น "Champion หรือ Leader" อย่างเป็นกิจจะลักษณะและสนับสนุนอะไร...สุดท้ายงานต่างๆก็ไม่เป็นผล ล้าช้า ไม่คืบหน้า ไม่ประสบความสำเร็จ องค์กรเสียโอกาสและล้าหลังในที่สุด..."ถ้าเป็นอย่างนี้ จะบอกว่าลูกน้องไม่ดี ไม่เก่ง ทำงานล้มเหลว ไม่น่าอภัยไม่ได้.. แต่ต้องบอกว่าเจ้านายไม่เก่ง ไม่เอาไหน ทำงานไม่เป็น ทำงานแย่ บริหารล้มเหลวต่างหาก..."
Action Plan |
เมื่อวางแผนเสร็จแล้วขั้นตอนสุดท้ายคือการลงมือทำตามแผนให้เต็มที่ ผลออกมาจะเป็นไงช่างมัน การยอมรับในผลที่เกิดขึ้นไม่ฟูมฟายเขาเรียก สันโดษครับ
“ไม่ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิม เราเพียงแต่เปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริงตามกฏธรรมชาติด้วยจิตใจที่เป็นธรรม แล้วยินดีพอใจในสิ่งที่มี ที่เป็น ที่หามาได้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รู้จักคิดดี คิดถูก เท่านั้นแหละ“ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก[3]
สู้ต่อไป SME ไทย
ที่มา:
[1] เฟสบุกของ อ, พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล
[2] วิบูลย์ จุง, กำหนด Mission พันธกิจ, http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=wbj&group=46
[3] พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก “สันโดษ… เคล็ดลับของความสุข”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น