วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สู้แล้วรวยจริงหรือ


บทความดีๆจากอ. เกษียร เตชะพีระ เรื่อง "ทฤษฎี "สู้แล้วรวย" ในการอธิบายความไม่เสมอภาคของคนในสังคม" หน้าfacebook เชิญอ่านโดยพลัน


ในทางสังคมศาสตร์ ทฤษฎีที่ใช้อธิบายความไม่เสมอภาค และ ชนชั้นในสังคม ใหญ่ ๆ มี ๓ ทฤษฎี ได้แก่
  1. ทฤษฎีคุณสมบัติของบุคคล (ทฤษฎี "สู้แล้วรวย")ซึ่งเห็นว่าความ รวย/จนหรือนัยหนึ่งระดับชีวิตความเป็นอยู่ทางวัตถุของคนเรานั้น ถูกกำหนดจากหรือแปรตาม คุณสมบัติของบุคคล (individual attributes) ที่ต่าง ๆ กันไป เช่น ขยัน, มัธยัสถ์, กล้าเสี่ยง, กล้าริเริ่มสร้างสรรค์ ฯลฯ ภาพชุดคำอธิบายด้านล่างก็มาจากฐานคิดตามทฤษฎีนี้ 
  2. ทฤษฎีการกักตุนโอกาสในตลาดของ Max Weber
  3. ทฤษฎีการขูดรีดและครอบงำในกระบวนการผลิตของ Karl Marx
ความแตกต่างสำคัญระหว่าง ทฤษฎี "สู้แล้วรวย" กับ ทฤษฎีของ Weber & Marx ก็คือทฤษฎีแรกผูกความรวย/จนเข้ากับปัจเจกบุคคล แบบตัวใครตัวมัน เรื่องใครเรื่องมัน ทุกคนมีโอกาสสำเร็จ/ล้มเหลวได้ขึ้นกับคน ๆ นั้นคนเดียว
คนจนกับรวยตามทฤษฎีคุณสมบัติของบุคคล

แต่ทฤษฎีของ Weber & Marx ผูกความรวย/จน หรือนัยหนึ่งความไม่เสมอภาคเข้ากับ positions (ฐานะตำแหน่ง) ทางเศรษฐกิจสังคมของคนในสังคมซึ่งถูกกำหนดจากสัมพันธภาพทางอำนาจและกฎหมายกติกาในสังคมนั้น ๆ

นั่นแปลว่าความรวย/จนจึงไม่ได้ขึ้นต่อคุณสมบัติของบุคคลคนหนึ่งเป็นหลัก ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์สู้แล้วรวยได้ในสนามแข่งที่ราบเรียบ, หากเสนอว่าสนามแข่งมันเอียงกระเท่เร่หรือเหลื่อมล้ำลดหลั่นแต่ต้น บางตำแหน่งฐานะในสังคมได้เปรียบ บางตำแหน่งฐานะในสังคมเสียเปรียบ บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งฐานะที่ได้เปรียบย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า ได้กันท่าตัดโอกาส/ขูดรีดครอบงำคนอื่นแต่ต้น พูดอีกอย่างคือสังคมไม่เสมอภาคเพราะมันเอียง แบ่งเป็นชนชั้น (ฐานะตำแหน่งในสังคมเศรษฐกิจนั่นเอง) บุคคลบางคนหากสังกัดชนชั้นเสียเปรียบ ถึงสู้เท่าไหร่ก็ไม่รวยหรือรวยยากมาก, แต่บางคนสังกัดชนชั้นได้เปรียบ ไม่สู้หรือสู้เบา ๆ ก็รวยแล้วจ้า
จนรวยตามทฤษฎ๊ของ Weber & Marx

ที่มา เกษียร เตชะพีระ, "ทฤษฎี "สู้แล้วรวย" ในการอธิบายความไม่เสมอภาคของคนในสังคม",online https://www.facebook.com/kasian.tejapira

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผู้ใช้ font ตระกูล PSL ระวังละเมิดลิขสิทธ์หลายหมื่นนะเธอว์

มีคนโพสในกระทู้ของเว็ป thaiseoboard [1] ว่า "มีจดหมายบริษัท PSL เจ้าของลิขสิทธิ์ฟอนต์ แจ้งเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ฟอนด์ที่ใช้ภายในเว็บไซต์ ทำอย่างไรดีครับ
เรียกเก็บมาแพงด้วย หลักแสนทีเดียว เว็บก็จ้างเค้าออกแบบด้วย ใครพอมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรดีครับ หรือมีอะไรแนะนำได้ครับ

ขอบคุณครับ"

ซักพักคุณสายลม เข้ามาตอบได้ชัดเจนมากกว่า

"ไม่ได้เข้าบอร์ดนานมากๆ ขอแจมหน่อย

ไม่พูดถึงรูปแบบธุรกิจของ PSL ละกันนะครับ


แต่หลายคนในนนี้ยังไม่เข้าใจและแยกไม่ออกว่า "โปรแกรมคอมพิวเตอร์ฟอนต์(ภาษาไทย)" กับ "ฟอนต์(ภาษาไทย)" ต่างกันยังไง

ยกตัวอย่างนะครับ

A B C D .... อันนี้คือ ฟอนต์ ครับ

ส่วน "โปรแกรมคอมพิวเตอร์ฟอนต์" คือโปรแกรมหรือไฟล์ที่ใช้แสดงผลฟอนต์นั้นๆออกมาครับ เช่น คอมพิวเตอร์เครื่องไหนจะแสดงฟอนต์ Tahoma ได้ ในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะต้องมี ไฟล์ นี้ครับ

Control Panal >> All Control Panal Items >> Fonts >> tahoma.ttf

ซึ่งไฟล์ตัวนี้แหละครับ ที่มันมีลิขสิทธิ์ เพราะกว่าจะได้ไฟล์นี้มาต้องเขียนโค้ดมากมายครับ ตรงนี้เป็นอันเข้าใจว่า "โปรแกรมคอมพิวเตอร์ฟอนต์" มีลิขสิทธิ์แน่นอน

ส่วนเรื่องลิงขสิทธิ์ตัวฟอนต์ อันนี้ เป็นลิขสิทธิ์เดียวกับงานศิลปะครับ เช่น ผมไปภูเก็ต แล้วไปถ่ายภาพหาดป่าตองมา ภาพนั้นก็ต้องเป็นลิขสิทธิ์ของผมครับ   ผมอ้างความเป็นเจ้าของสิทธิ์ภาพครับ ไม่ได้เป็นอ้างว่าเป็นเจ้าของหาด เช่นเดียวกับ เจ้าของฟอนต์ครับเค้าอ้างสิทธิ์ในฟอนต์ครับ ไม่ใช่ภาษาไทย มันคนละกรณีกันเลย


และ 100% ที่เอาฟอนต์คนอื่นมาใช้งาน ก็ไม่ได้เกิดจากการเขียนขึ้นมาเองแล้วมันบังเอิญเหมือนครับ แต่เกิดจากการจงใจไป Copy ไฟล์ฟอนต์นั้นๆมาใช้เลยครับ (เช่น ไฟล์ tahoma.tff) ก็เหมือน คุณไปขโมยตรายางรูป ก ไก่ มาปั๊มลงในกระดาษแหละครับ เจ้าของเค้าไม่ได้ อ้างว่าเป้นเจ้าของ ก ไก่ครับ แต่เค้าเป็นเจ้าของตรายางอันนั้น"

แล้ว font ตระกูล PSL อยู่ใหน
ส่วนใหญ่จะใช้กับโปรแกรม adobe ทั้งหลายเพราะสมัยก่อนมันไม่ค่อยรองรับภาษาไทยก็ต้องใช้ font ตะกูลนี้แหละเวลาทำ graphic ภาษาไทย หาโหลดได้ทั่วไปใน net (นึกว่าเป็นของฟรีจนกระทั้งเห็นกระทู้นี้แหละ) แต่สมัยนี้ดีหน่อยเพราะมีคนไทยเข้าไปอยู่ในทีมพัฒนาโปรแกรมของ adobe ด้วยทำให้สามารถพิมพ์ไทยได้เลยโดยใช้ font ที่ไป

ที่มา
[1]http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,285774.0.html

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การบริหารเงินสำหรับคนเงินเดือน 15,000 บาท

คนเราจะเป็นถ้าแก่ได้ก็ต้องเริ่มจากเงินออมเล็กๆน้อยๆนี่แหละครับ แล้วก็ลงทุนเล็กๆขยายกิจการไปเรื่อย แต่ก็อย่างว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ จุดเริ่มต้นอาจจะสู้ลูกคนมีกระตังค์ไม่ได้ แต่พ่อแม่ก็ยังทนส่งเราเรียนจนจบปริญญาตรีจนได้หวังว่าจะมีการมีงานทำไม่ลำบากเหมือนรุ่นตัวเอง ถ้าโชคดีคุณอาจได้เริ่มต้นที่เงินเดือน 15,000 บาท ต่อไปขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของคุณแล้วว่าจะทำให้เงินคุณงอกเงยได้อย่างไร
คนเราจุดเริ่มต้นไม่เท่ากัน

เงินเดือนเท่านี้ทำไงให้พอกิน?

คุณ siwat [1] เขียนเรื่องการบริหารเงินสำหรับคนเงินเดือน 15,000 บาท อย่างไรให้อยู่รอดและมีเงินเก็บ เขาบอกว่ากฎข้อแรกก็คือ

ไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นหนี้ และไม่เป็นหนี้

siwat เขาว่า "คนเงินเดือน 15,000 เพิ่งเริ่มทำงาน ถ้าตั้งหลักกับการทำงานได้ดี ไม่ต้องวอกแวกเรื่องอื่น แต่ใช้สมาธิกับงาน ดูว่าเราชอบงานหรือเปล่า ความถนัดเราตรงกับงานที่ทำไหม ถ้าตั้งลำได้แล้ว ฝึกฝนพัฒนาทักษะ ให้ทำงานได้เก่ง ได้เร็ว ได้ครบถ้วน เราจะได้ขยับขึ้นไปในกลุ่มเงินเดือนที่สูงกว่าได้เร็วครับ พอเงินเดือนสูงขึ้นอีกหน่อย เราก็มีเงินใช้จ่ายได้มากขึ้นเอง อย่าไปเสียสมาธิเพราะหนี้ที่เราก่อ"

พอทำงานสบายใจแล้วมาดูกันว่าทำงานอย่างไรให้มีเงินเหลือเก็บเอาไปลงทุนต่อยอดความมั่งคั่งได้
การจัดสรรเงินของคนเงินเดือน 15,000


  1. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ – ถ้าบริษัทของเรามี ผมแนะนำให้ทุกๆคน เลือกให้เขาหักสูงสุดครับ อาจจะ 3% หรือ 5% ก็สุดแท้แต่ สิ่งที่สำคัญคือ เขาหักไป บริษัทจะสมทบให้อีกเท่ากัน เช่นหักไป 3% หรือ 450 บาท บริษัทจะสมทบให้อีก 450 บาท แต่ถ้าให้หัก 5% 750 บาท เราก็ได้อีก 750 บาท เพราะฉะนั้น ยิ่งให้หักมาก เรายิ่งได้เงินมากครับ ส่วนนี้เป็นส่วนเงินออมแรกเลยที่ควรให้หักไปครับ นอกจากได้สมทบเยอะ ยังช่วยเราออมเงินได้อีกด้วย ส่วนประกันสังคม ไม่ต้องพูดถึง เพราะโดนหักอยู่แล้วอัตโนมัติ
  2. เงินออม / ให้พ่อแม่ – คนที่ต้องให้พ่อแม่ ส่วนใหญ่จะหักให้ไปก่อนอยู่แล้ว แต่เจ้าเงินออมเนี่ยสิครับ หลายๆ คน เอาไว้ทีหลัง คือมีเหลือเท่าไรค่อยเก็บ ซึ่งผมบอกได้เลยว่า มันจะไม่เหลือ … เพราะฉะนั้นถ้าอยากออมเงินจริง เงินเดือนออกปุ๊บให้รีบหยอดกระปุกเลยครับ แนะนำให้หาบัญชีฝากประจำ แบบสะสมเท่ากันทุกเดือน จะได้ดอกเบี้ยสูงหน่อยด้วยครับ (ผมยังไม่แนะนำการลงทุนอื่นๆในขั้นนี้ เพราะเงินมันยังน้อยอยู่ครับ ลงทุนไปก็ปวดหัวต้องมาคอยเป็นห่วงว่าเงินลงทุนไปถึงไหนแล้ว เสียสมาธิกับการทำงานอีก)
  3. ค่าใช้จ่ายประจำ – ตรงนี้ล่ะครับ บอกได้เลยว่าคน กทม. ที่อยู่กับครอบครัว กับคน ตจว. ที่มาเช่าห้องอยู่ ค่าใช้จ่ายต่างกันฟ้ากับเหวครับ คนอยู่หอ เดือนหนึ่งโดนประมาณ 5,000 แน่ๆ ค่าใช้จ่ายนี้ ถ้าลดได้ ผมแนะนำให้ลด เช่น ค่าหอ ให้หา รูมเมทมาแชร์ คิดง่ายๆ ค่าหอ 4,000 ถ้าได้รูมเมทมาแชร์ครึ่งหนึ่ง เราจะมีเงินไว้เก็บ หรือไว้ใช้อีก 2,000 ต่อเดือนแน่ะ ทีนี้ถ้าใครบอกไม่เอาชอบความเป็นส่วนตัว ก็ให้ลองคิดดูว่า ค่าความเป็นส่วนตัว คุ้มกับ 2,000 ต่อเดือนหรือเปล่า ส่วนค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ 1,500 คงไม่ต้องบอก ประหยัดได้ก็ประหยัด มันก็จะลดลงไปเองครับ ส่วนค่าเดินทาง ผมเอามาอยู่หมวดเดียวกัน เพราะผมว่าตรงนี้ มันควรคิดคำนวณด้วยกันเป็นภาพรวมครับ เช่น ถ้าเรายอมจ่ายค่าหอแพงหน่อย เพื่อให้อยู่ใกล้ที่ทำงานขึ้น ประหยัดค่าเดินทาง สุทธิแล้ว ค่าใช้จ่ายเท่าๆ กัน แน่นอนเราอยู่ใกล้ที่ทำงานย่อมดีกว่าครับ นี่ยังไม่รวม เวลาเดินทางที่จะใช้น้อยลง ซึ่งจะช่วยลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มพลังในการทำงานอีกนะครับ ความเห็นผม อยู่ใกล้ที่ทำงาน ถ้ารวมค่าเดินทางกับค่าหอแล้วต่างกันไม่มาก อยู่ใกล้ดีกว่าครับ มีเวลา สมาธิ ในการทำงาน หรือแม้กระทั่งจะเอาเวลาว่างมาหารายได้เสริมได้อีกด้วย สำหรับคนที่ไม่ต้องจ่ายค่าหอ ผมขอให้มองเพื่อนๆ ที่มีภาระค่าหอครับ ถ้าเขาอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ เงินส่วนต่างตั้ง 4,000 บาทนั้น ผมแนะนำให้ออมมากขึ้นสัก 1,000-2,000 ต่อมาดูว่ามีวิธีไหนไหมที่จ่ายค่าเดินทางมากขึ้นอีกหน่อย แต่ประหยัดเวลาเดินทางได้ เช่น เปลี่ยนจาก รถเมล์เป็นรถไฟฟ้า หรือพี่วินฯ เก็บพลังงานเราไว้ใช้ในการทำงานครับ สุดท้ายที่เหลือก็เอาไปกิน เที่ยวตามใจชอบครับ
  4. ค่าข้าว ค่าน้ำ – รวมอยู่ด้วยกันครับ คำแนะนำคือ พยายามควบคุมค่าใช้จ่ายรายวันนี้ให้อยู่ในงบ พึงระลึกไว้ว่า เงินที่เหลือถัดไปจากก้อนนี้ คือ งบ shopping และเที่ยวแล้วครับ ถ้าประหยัดตรงนี้ได้ จะมีเงินเหลือให้ช้อป กินดื่มได้มากขึ้น สำหรับคนเงินเดือนเริ่มต้น ผมแนะนำให้ห่างไกลสิ่งเหล่านี้ครับ
    • กาแฟ ชานมไข่มุก แก้วละ 40 บาท ถึง 140 บาท ไว้รวยแล้วค่อยกินครับ กินกาแฟฟรีใน office ไปก่อน ถ้าเรากินกาแฟแก้วละ 50 ทุกวัน 20 วันต่อเดือน จะเป็นเงิน 1,000 บาทครับ มีค่าเท่ากับ ปาร์ตี้มันส์ๆ 1 ครั้ง บวกกับเสื้อผ้า แพลตตินัม 2 ชิ้นขึ้นไป อีกตัวเลือกหนึ่งที่ใช้แก้ง่วง แทนกาแฟ ได้ ผมแนะนำ หมากฝรั่งครับ 1 กล่อง 10 บาท มี 9 เม็ด กินได้ 2 วัน เฉลี่ยวันละ 5 บาท แก้ง่วงได้ แถมยังเพิ่มออกซิเจนให้สมองด้วยครับ
    • บุหรี่ ทั้งทำร้ายสุขภาพและกระเป๋าสตางค์
    • อาหารกลางวันมื้อแพงๆ ถ้าไปกินกับพี่ๆ ที่ทำงาน ให้พี่ๆ มันจ่ายไปครับ ถ้าพี่ไม่เลี้ยง วันหลังไม่ต้องไปกิน เราเงินเดือน 15,000 พี่เงินเดือน 50,000 การใช้ชีวิตไม่เหมือนกันอยู่แล้ว จะให้ไปกินแพงๆ มื้อละ 100-200 ขึ้นไป พี่ต้องเลี้ยง!
ลดใช้ของฟุ่มเฟื่อยก็รวยได้

สุดท้ายคือเงินเหลือ เที่ยว shopping – เคล็ดลับของเรื่องนี้ คืออย่างนี้ครับ

คนทั่วไป มักจะเที่ยว shopping ตอนต้นเดือน ทันทีที่เงินเดือนออก แล้วพอปลายเดือนค่อยกินแกลบผมแนะนำกลับกัน เงินเดือนออกปั๊บ ออมก่อน ใช้จ่ายประจำก่อน แล้วเหลือเท่าไหร่ ตอนปลายเดือน ค่อยเที่ยว ค่อย shop เท่านั้น

สมมติเงินเดือนออกวันที่ 31 แทนที่จะ shop วันที่ 31, 1, 2, 3 เราหันมา shop วันที่ 30 แทนดีกว่าครับ ใช้ให้มันหมดไปเลยก็ได้ เพราะวันรุ่งขึ้นเงินใหม่จะมาแล้ว เป็นวัยรุ่นมันต้องเที่ยวต้อง shop บ้าง อย่าไปฝืน อย่าไปทำให้ชีวิตมันลำบากยากแค้นมากนัก หาความสุขความสบายใส่ตัวบ้าง เพื่อให้เราไม่รู้สึกกดดันกับชีวิตและการเงิน และเราจะมีสมาธิกับการทำงานได้อย่างเต็มที่ครับ

สุดท้าย ดูจากตาราง เราจะเห็นได้ว่า เฮ้ย จำนวนวันในแต่ละเดือนมีความสำคัญนะ เห็นอย่างนี้เราคงรักเดือน กุมภาฯ เพิ่มขึ้นอีก และเราคงรักเดือนที่มี 30 วันมากกว่า เดือนที่มี 31 วัน มากขึ้นอีกหน่อย

เริ่มมีเงินแล้วอยากไรอยากได้รถขับอะทำไงดี?

สำหรับคนที่เงินเดือน 15,000 ผมว่าอย่าพึ่งออกรถเลยครับเพราะค่าใช้จ่ายมันเยอะกว่าที่คุณคิดอาจได้ติดหนี้หัวโตได้  มาดูตารางกันครับขนาดคนเงินเดือน 20,000 บาทจะซื้อรถยังหมุนเงินหัวแทบแตก
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการมีรถ 1 คัน
นอกจากเสียค่าใช้จ่ายมากมายแล้วยังทำให้เราเสียโอกาสในการลงทุนอีกด้วย จาก page TIF [2] ครับเขาสมมติว่ามีเงินเริ่มต้น 1,000,000 บาท กับทางเลือกหลายๆทางทั้ง ซื้อเงินสด ผ่อนมันเข้าไป กู้เงินกับซื้อรถ และทางเลือกสุดท้ายคือไม่ซื้อรถเอามาลงทุนเพียวๆ


โอเคไม่ซื้อรถก็ได้ เงินลงทุนปีละหมือนกว่าบาทเมื่อไหร่จะรวย


แนวทางการ "เริ่ม" สะสมความมั่งคั่งของคนที่ยังมีเงินไม่มากต้องท่องไว้ในใจ 2 ข้อครับ [2]
  1. ศึกษาหาความรู้ด้านการเงินการลงทุนให้มากเข้าไว้ มองให้กว้าง หาวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างกำไร ซึ่งอาจไม่ใช่แค่กราฟและหน้าจอเทรด
  2.  เน้นการออมเงินเดือนมาเติมพอร์ตลงทุน มากกว่าการเพิ่มความเสี่ยงเพื่อหากำไร
ก็อกน้ำแห่งความมั่งคั่ง
ถ้าทำข้อ 1 ได้ - เราก็จะเห็นภาพกว้างขึ้นเรื่อยๆ ว่าในโลกนี้มีอะไรทำเงินให้เราได้บ้าง และเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าอะไรคือโอกาส อะไรคือความเสี่ยง อะไรควรรอ อะไรควรรีบ ที่สอนการลงทุนก็มีหลายที่ครับอย่างที่ http://www.investidea.in.th/p/value-investor.html เขาสอนวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานแบบ VI เป็นการลงทุนระยะยาว ก็สอนดีอยู่

ถ้าทำข้อ 2 ได้ - เราก็จะมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างเร็วมาก โดยไม่ต้องแบกความเสี่ยงใดๆ เลย

นอกจากนี้บนโลกนี้มีสิ่งมหัศจรรอยู่อย่างหนึ่งก็คือ "ดอกเบี้ยทบต้น" มีคนคำนวณว่า ถ้าเก็บเงินปีละ 14,000 บาทแล้วลงทุนได้ 20% ต่อปี ทบไปทบมาจะมีเงินเท่าไร [3]
  • ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท
  • ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
  • ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท
  • ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
  • ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท
  • ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
  • ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท
  • ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
จะเห็นว่าการทำเงินหนึ่งล้านบาทในปีหลังๆใช้เวลาน้อยกว่าการหาเงินหนึ่ง ล้านบาทแรกมาก นักลงทุนต้องเข้าใจว่าการสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ดังนั้นภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล ต้องคิดว่านี่เป็นการ “วิ่งมาราธอน” ไม่ใช่ “วิ่งร้อยเมตร” สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว

แต่ทำผลตอบแทน 20% ต่อปีอาจยากไป ถ้าลองลดเป็น 10% ต่อปีอาจไม่ยากเกินไป ใช้ตารางนี้เอาครับตัด 0 ไปตัวนึง

ลงทุนเดือนละหมื่น ผลตอบแทน 10% ต่อปี
ขอให้สนุกกับการบริหารเงินครับ

ที่มา
[1]http://www.siwat.com/?p=861
[2]https://www.facebook.com/ThInvestForum
[3]วิบูลย์ พึงประเสริฐ, ลงทุนปีละหมื่นเป็น’เศรษฐีร้อยล้านได้,  บทความ Value Way  ฉบับวันที่ 9 กรกฏาคม 2555 

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปริมาณน้ำตาลในชาเขียวภัยเงียบที่ไม่รู้ตัว

คนไทยชอบกินหวานครับ ถ้าพ่อค้าแม่ค้าอยากขายได้ก็ต้องทำอาหารไม่ออกรสหวานหน่อยก็ขายไม่ออก เท่ากับอาหารทุกมื้อที่เรากินมีน้ำตาลเยอะโดยไม่รู้ตัว ข้อมูลจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข [1] เผยว่า คนไทยติดน้ำตาล มีการบริโภคน้ำตาลเกินกว่ามาตรฐานกำหนดถึง 3 เท่า

ข้อมูลจาก page "รอบหน้าจริงกว่านี้อีก" [2]  นำข้อมูลปริมาณน้ำตาลของชาเขียวยี่ห้อ 1 มาแสดงให้เห็นว่าให้พลังงานเที่ยบเท่าข้าวกี่ทัพพี (น้ำตาล 1g = คาร์โบไฮเดรตเพียวๆ ให้พลังงาน = 4 kcal, ข้าวสุก 1 ทัพพี = 80 kcal) เห็นแล้วเยอะใช่เล่น

คนเราต้องการใช้พลังงานวันนึง 2000 kcal ดังนั้นเวลากินครั้งต่่อไปก็จะได้เอาไปคำนวนได้ว่าทั้งหมดทที่กินเข้าไป ได้ัพลังงานเกิน 2000 kcal หรือยัง





ข้อมูลว่าทำไม ข้าวสุก 1 ทัพพี = 80 kcal

  • 1 g คาร์โบไฮเดรท ให้พลังงาน 4 kcal
  • 1 g โปรตีน ให้พลังงาน 4 kcal
  • 1 g ไขมัน ให้พลังงาน 9 kcal
  • น้ำและสารอาหารอื่นๆ เป็นสารไม่ให้พลังงาน
  • 1 g แอลกอฮอล์ ให้พลังงาน 4 kcal แต่ไม่จัดเป็นสารอาหาร เพราะเป็นพิษต่อร่างกาย
ข้าวสุก 1 ทัพพี (60 g) ประกอบด้วย
  • คาร์โบไฮเดรท 15 g = 60 kcal
  • โปรตีน 3 g = 12 kcal
  • ไขมัน ไม่ถึง 1g = ประมาณ 8 kcal
  • ที่เหลืออีก 41 g เป็น" น้ำ"และ"สารอาหาร"ที่ไม่ให้พลังงาน
ดังนั้น ข้าวสุก 1 ทัพพี = 80 kcal
  • น้ำตาล 1g = คาร์โบไฮเดรตเพียวๆ 1g = 4 kcal เลย
ดัังนั้น มีน้ำตาลกี่gก็จับคูณ 4 kcal ได้เลย


ที่มา
[1] http://women.thaiza.com/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5/181094/
[2]https://www.facebook.com/truthnextround

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การตลาดแบบตันอิชิตัน

กระผมต้องขอขมาแฟนคลับ"คุณตัน-อิชิตัน"ด้วยนะครับ แต่การกระทำของเขาถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีของการตลาดที่สร้างกระแสและการรับรู้ ตอกย้ำ อารมณ์ร่วมใน brand ได้เยี่ยมมาก และเป็นการตลาดที่ต้นทุนต่ำเหมาะกับ SME's ยิ่งนัก

  • คุณตันแค่ไปถอนเงินสดออกมา 10 ล้าน
  • คุณตันแค่เอาเงินสดมาตั้งโชว์
  • คุณตันแค่ไปหานวมนักมวยมาวางไว้ประกอบฉาก
  • คุณตันแค่ไปหาหมวก "กัปตัน" ที่ถ่ายโฆษณาบ่อยๆมาใส่
  • คุณตันแค่ถ่ายรูปตัวเองคู่กับกองเงิน 10 ล้าน
  • คุณตันแค่เอารูปที่ถ่ายมาลงในแฟนเพจที่มีคนติดตาม 1.5 ล้านคน
  • คุณตันแค่โผล่มาตอนเขาจะต่อยนัดสุดท้าย
  • คุณตันแค่บอกว่าจะหอบเงินสิบล้านไปให้เขาที่สุวรรณภูมิ ซึ่งแน่นอนว่ามีกล้องทีวีเยอะมาก
.
รูปเงินสดสิบล้าน
ผลออกมามวยแพ้ไม่เป็นไร แต่ต่อยได้ใจเราให้เต็ม คนก็แชร์กันเต็มๆเหมือนกัน

กระแสส่งต่อใน facebook
ขอให้ความใจป้ำครั้งนี้ประสบความสำเร็จ คนนิยมชมชอบ brand อิชิตันเยอะๆ นะครับ ผมก็คนนึงแหละติด brand มาตั้งแต่น้ำท่วม